pearleus

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

รมช.มท. ประธานปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ำทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน และขับเคลื่อนงาน ด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมหารือแนวทาง "การบังคับใช้กฎหมาย" ให้เข้มงวดและครอบคลุม ในทุกมิติ


เมื่อ 5 ม.ค. 60 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 พร้อมแถลงสรุปผลการดำเนินงานในช่วงระหว่างวันที่ 29ธันวาคม 2559 – 4 มกราคม 2560 ที่ผ่านมาของการรณรงค์ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้แนวคิด ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” เพื่อดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่
นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและมีเจตนารมณ์มุ่งหวังที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และได้มอบหมายให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ และจากการดำเนินงานของ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ซึ่งได้มีการบูรณาการการทำงานร่วมหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และกรุงเทพมหานคร ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งของภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ภาคีเครือข่าย มูลนิธิ อาสาสมัครต่างๆ และภาคประชาสังคม ตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและจริงจัง พร้อมทั้งได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน จากผลการดำเนินงานในช่วง 7 วัน (29 ธ.ค.59 – 4 ม.ค. 60) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,919 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 478  ราย มีผู้บาดเจ็บรวม 4,128 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต มี 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง และ สตูลจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ เชียงใหม่ จำนวน152 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี 33 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ เชียงใหม่ จำนวน 164 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 36.59 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 31.31 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.82 รองลงมา รถยนต์กระบะ (รถปิคอัพ) ร้อยละ 8.00 ส่วนใหญ่อุบัติเหตุเกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 61.78 ถนนทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 36.92 รองลงมาถนนในอบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 36.49 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01-20.00 ร้อยละ 29.24 โดยผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 52.22 ทั้งนี้ ได้มีการเรียกตรวจยานพาหนะรวม 4,419,430 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 727,438 ราย สำหรับข้อมูลปริมาณรถของศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2559 – 4 มกราคม 2560 มีปริมาณรถบนท้องถนนทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ จำนวน 11,053,835 คัน เมื่อเทียบกับช่วงปกติ มีปริมาณรถ 8,765,808 คัน เพิ่มขึ้น จำนวน 2,288,027 คัน คิดเป็นร้อยละ 26.10 จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นได้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 นี้มีจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีใหม่ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเมาสุราแล้วขับ และการขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมถึงผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 69.15 และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการขาดจิตสำนึกความรับผิดชอบ และความประมาทในการใช้รถใช้ถนน ซึ่งแม้ว่าการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมุ่งเน้นแก้ปัญหาและลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้ครอบคลุมในทุกมิติทั้งด้านคน ถนน ยานพาหนะ และสภาพแวดล้อม มีการยกระดับการสัญจรและยานพาหนะที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสร้างจิตสำนึกและวินัยจราจรในกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน  นอกจากนี้ยังรวมถึงการบริหารจัดการหลังเกิดอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนจากการขับรถเร็ว เมาแล้วขับ และอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะ การกำหนดหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตขับขี่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการส่งเสริมการคาดเข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารทุกที่นั่ง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ทันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 นี้ พร้อมเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้จังหวัดสรุปผลการดำเนินงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ และถอดเป็นบทเรียน วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง รวมถึงสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนภารกิจการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ ตลอดจนใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการร่วมกันสร้างจิตสำนึกที่ดีในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้น
ท้ายนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ ส่วนกลาง ระดับพื้นที่ ประจำจุดตรวจ ด่านตรวจ จุดบริการ ซึ่งมีการบูรณาการทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และอาสาสมัคร รวมถึงประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือ เสียสละ ทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจร่วมปฏิบัติงานเพื่อร่วมกันสร้างความสุข และดูแลความปลอดภัย เพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากอุบัติเหตุตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำหรับมาตรการยึดรถช่วงในเทศกาล ซึ่งถือเป็นมาตรการเข้มข้นที่ใช้บังคับกับผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยคนเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความสูญเสียอย่างมากมายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ เราทุกคนจึงควรร่วมมือกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เพื่อยกระดับการสร้างความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากล 

และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย ประเทศไทยปลอดภัย (Safety Thailand) ของรัฐบาล

จากนั้น นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการลดอุบัติเหตุทางถนนในระยะยาว กระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำให้จังหวัดใช้กลไกของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมุ่งลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมในทุกมิติ และมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันในรูปแบบสานพลังกลไกประชารัฐ” เน้นการใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่/ชุมชน เพื่อเสริมสร้างกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้จังหวัดเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และความตระหนัก เกิดจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนนเชิงรุกที่ครอบคลุมทุกช่องทางสื่อ เพื่อร่วมกันสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น