pearleus

วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อธิบดี สค. เชิญชวนร่วมอนุรักษ์ประเพณีไทย “ลอยกระทงสานสัมพันธ์ในครอบครัว”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 เวลา 13.00 น. ที่ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ได้กล่าวเชิญชวนให้คนไทยร่วมอนุรักษ์ประเพณีไทย “ลอยกระทงสานสัมพันธ์ในครอบครัว”
     
นายเลิศปัญญา กล่าวว่า เทศกาลวันลอยกระทง เป็นประเพณีไทยสำคัญวันหนึ่ง ที่มีคุณค่าต่อครอบครัว ต่อชุมชน และสังคม โดยในปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งถือเป็นวันดีที่วันถัดไปจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ของทุกคน ที่จะได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันทั้งครอบครัวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเร่งรีบตื่นแต่เช้าไปทำงานในวันรุ่งขึ้น และคนในชุมชนจะได้มีโอกาสออกมาพบปะกัน ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคีในชุมชน สังคมมีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ในการช่วยกันบำรุงรักษาความสะอาดของแม่น้ำ ลำคลอง และแหล่งน้ำต่าง ๆ

นายเลิศปัญญา กล่าวต่ออีกว่า สค. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวตระหนักดีว่าครอบครัวที่มีความสุขจะส่งผลให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข และในโอกาสเทศกาลวันลอยกระทงประจำปี 2560 นี้ สค. จึงขอเชิญชวนชาวไทยร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีที่ดีงามเอาไว้ และใช้เวลาในวันพิเศษเหล่านี้อยู่กับครอบครัวทำกิจกรรมและใช้เวลาร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว

 “ผมเชื่อว่าหลายท่านคงมีคนรู้ใจที่จะพากันไปลอยกระทงด้วยอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน หรือคนรัก แต่สำหรับท่านที่ยังไม่มีคนรู้ใจ ท่านไม่ต้องมองหาคนอื่นไกลที่ไหนเลยครับ คนในครอบครัวของท่านไงครับ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือ ลูกหลาน พวกเขาพร้อมเสมอที่จะไปลอยกระทงกับท่านครับ ท่านล่ะครับ พร้อมไหมที่จะไปลอยกระทงกับพวกเขา...”

สุดท้ายผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ช่วยดลบันดาลให้พี่น้องคนไทยมีแต่ความสุข ครอบครัวอบอุ่นเข้มแข็ง มีสุขภาพกายใจที่สมบูรณ์แข็งแรงครับ สำหรับ สค. จะยังคงมุ่งมั่นทำงานตามภารกิจอย่างเต็มกำลัง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม พัฒนาสังคมร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป นายเลิศปัญญากล่าวในตอนท้าย
*************************

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา

                                                  
เรื่องฝนตกหนักถึงหนักมากและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560) ฉบับที่ 8 .../
พายุเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 750 กิโลเมตร ทางตะวันออกของจังหวัดสงขลา ประเทศ หรือละติจูด 7.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 107.0 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ คาดว่าจะเคลื่อนยผ่านปลายแหลมญวนเข้าสู่อ่าวไทยในคืนนี้ (1 พ.ย.2560) ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนตกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และลมกระโชกแรง

พื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีดังนี้
- วันที่ 1 พ.ย.2560 บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนาราธิวาส
- วันที่ 2-3 พ.ย.2560 บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่
สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง คลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณดังกล่าวควรงดออกจากฝั่ง ขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะสันออกระวังคลื่นซัดเข้าหาฝั่งในระยะเวลาดังกล่าวไว้ด้วย






"รัฐบาลเตรียมถวายพระราชสมัญญานาม สมเด็จพระภัทรมหาราช เทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 9 "




รัฐบาลเตรียมการถวาย พระราชสมัญญานาม "สมเด็จพระภัทรมหาราช" เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาเทิดพระเกียรติพระราชสมัญญานาม "มหาราช" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ สำหรับการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีการพิจารณา ถวายพระราชสมัญญาว่า "สมเด็จพระภัทรมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่าพระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง

จังหวัดนครปฐมเปิดงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ประจำปี 2560

                                        
จังหวัดนครปฐมเปิดงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ประจำปี 2560 เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และองค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งมีอายุนับพันปี
วันที่ 31 ตุลาคม 2560 ที่บริเวณลานหน้าพระร่วงโรจนฤทธิ์ องค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พระพรหมเวที เจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร พร้อมด้วยนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ร่วมเปิดงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ประจำปี 2560 โดยวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ร่วมกับจังหวัดนครปฐม กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม - 8 พฤศจิกายน 2560 เพื่อสืบทอดประเพณีเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ ณ องค์พระปฐมเจดีย์ที่มีมาแต่โบราณกาล ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงจัดส่งคณะพระสมณทูต คือ พระโสณะเถระและพระอุตตระเถระ เป็นประธานมาประกาศพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ นับเป็นพระเจดีย์ที่ก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก มีอายุนับพันปี เป็นพระเจดีย์ใหญ่ ทรงระฆังคว่ำ โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมา ก่ออิฐ ถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 4 ได้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ โดยสร้างครอบเจดีย์องค์ที่ 1 และองค์ที่ 2 ของเดิมไว้เมื่อปี พ.ศ. 2396 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 164 ปี
สำหรับการจัดกิจกรรมภายในงานมีการมอบทุนให้แก่ศึกษาจำนวน 35 ทุน อีกทั้งยังมีการออกร้านค้าที่หลากหลายรอบองค์พระปฐมเจดีย์ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ผลิตผลทางด้านการเกษตร การจำหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา และการออกร้านกาชาดของจังหวัดนครปฐมอีกด้วย ซึ่งประชาชนสามารถเดินทางมาเที่ยวงานงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 8พฤศจิกายน 2560 รวม 9 วัน 9 คืน



มหาดไทยตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย

                                    
นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยและพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น

31 ต.ค.60  เวลา 15:30 น. ณ ห้องหงส์ยนต์ ท่าอากาศยานขอนแก่น อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย เดินทางลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยและพบปะ เยี่ยมเยียนประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัย โดยมี นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนร่วมต้อนรับเป็นจำนวนมาก

สำหรับสรุปสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 14 อำเภอ 85 ตำบล 782 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 18,689 ครัวเรือน 38,842 คน โดยมีบ้านเรือนถูกน้ำท่วมขัง จำนวน 11 ตำบล 33 หมู่บ้าน 3,266 ครัวเรือน

จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานปิดพนังคันดินคลองส่งน้ำชลประทานบ้านคุยโพธิ์ หมู่ 6 ตำบลบึงเนียม และเดินทางต่อไปยังบ้านบึงสวาง หมู่ 5 ตำบลบึงเนียม อำเภอเมืองฯ จังหวัดขอนแก่น เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพและชุดเวชภัณฑ์ ให้แก่ประชาชนใน 10 หมู่บ้าน คือ บ้านบึงเนียม บ้านดอนดู่ บ้านบึงใครนุ่น บ้านบึงฉิม บ้านบึงสวาง บ้านคุยโพธิ์ บ้านปากเปือย บ้านสงเปือย บ้านฮ่องเดื่อ และบ้านท่าหิน รวม 1,000 คน
     พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การบริหารจัดการน้ำและการแก้ไขปัญหาจะต้องดำเนินการในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งทรัพยากรน้ำเพื่อการอุปโภค การบริโภค และระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ จากสถานการณ์อุทกภัยในปีนี้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจและเร่งบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการ เอกชน เครือข่ายประชารัฐ ร่วมกันดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุด ซึ่งจะได้ดำเนินการเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนตามระเบียบของทางราชการต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนปรับแนวคิดการเพาะปลูกพืชด้วยการเตรียมอาชีพสำรองเพื่อรับมือกับน้ำท่วมซึ่งจะเกิดขึ้นทุกปี รวมทั้งติดตามข่าวสารจากทางราชการอยู่เสมอ
    







ขับเคลื่อน "ตลาดประชารัฐ

                                     
มหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อน "ตลาดประชารัฐ" ช่วยเหลือผู้ค้ารายใหม่ สนับสนุนพื้นที่ค้าขาย พร้อมบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

27 ต.ค. 60) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ (ห้องประชุม 1) ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเพื่อชี้แจงการดำเนินโครงการตลาดประชารัฐผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เข้าร่วมการประชุม อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด เข้าร่วมการประชุม

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ประธานการประชุม เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ได้เห็นชอบในหลักการให้ดำเนิน โครงการตลาดประชารัฐโดยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และพร้อมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยดำเนินงานบูรณาการกับส่วนราชการต่างๆ ในรูปแบบประชารัฐ เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ตลาดใหม่ รวมทั้งขยายพื้นที่ตลาดเดิม เพื่อให้มีพื้นที่ตลาดสำหรับการจัดจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น สามารถสนับสนุนให้พี่น้องประชาชน เกตรกร ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มอาชีพต่างๆ ได้มีโอกาสค้าขายมากขึ้น รวมถึงการลดต้นทุนทางการตลาด และการเปิดโอกาสให้กับผู้ค้ารายใหม่ ได้มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น
     โดยการประชุมในวันนี้ เป็นการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิด วิธีการทำงาน และการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งตลาดตามโครงการตลาดประชารัฐ ที่จะดำเนินการมี 9 ประเภท ประกอบด้วย 1) ตลาดประชารัฐ Green Market ของ องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย โดยจะทำการขยายพื้นที่ตลาด เช่น ตลาดตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ตลาดบางคล้า ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และ ตลาดลำพูน ที่จังหวัดลำพูน ซึ่งสามารถรองรับผู้ค้ารายใหม่ได้กว่า 800 ราย 2) ตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ ของกรมการพัฒนาชุมชน ที่มีอยู่จำนวน 2,155 แห่ง โดยจะทำการขยายตลาดโดยการเพิ่มกลุ่มผู้ค้าในชุมชนเข้าไป เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะรองรับผู้ประกอบการประมาณ 20,000 กว่าราย 3) ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นการบริหารจัดการพื้นที่ตลาดเดิม ซึ่งมีอยู่กว่า 3,800 แห่ง โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกร ผู้ค้าหาบเร่และแผงลอย ได้เข้ามาทำการค้าขายในพื้นที่ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้ามาประมาณ 40,000 กว่าราย 4) ตลาดประชารัฐ กทม.คืนความสุข ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการหาพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการที่เดือดร้อนเนื่องจากไม่มีพื้นที่ค้าขาย โดยตั้งเป้าหมายตลาดไว้ 14 แห่ง รองรับกลุ่มผู้ค้ารายใหม่ได้กว่า 10,000 ราย 5) ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด ดำเนินการโดย จังหวัดและบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี <จังหวัด> (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ซึ่งเป็นการจำหน่ายสินค้าที่มีความโดดเด่นในพื้นที่ เช่น สินค้าตามฤดูกาล สถานที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น
     6) ตลาดประชารัฐ Modern Trade ของกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) จำกัด โดยการเพิ่มพื้นที่ตลาดในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ภายในจังหวัด เพื่อเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรได้นำสินค้าไปขายในพื้นที่ดังกล่าว ในราคาค่าเช่าถูกหรือไม่เสียค่าใช้จ่าย 7) ตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเพิ่มพื้นที่ให้กับผู้ค้ารายใหม่ ในตลาดนัดของ ธ.ก.ส.ที่มีอยู่ 147 แห่งทั่วประเทศ 8) ตลาดประชารัฐต้องชม ของกระทรวงพาณิชย์ โดยเป็นการส่งเสริมด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นการค้าขาย เช่น ตลาดน้ำ ตลาดแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น และ 9) ตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นการส่งเสริมการตลาดสินค้าเชิงวัฒนธรรม เช่น การจัดแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิต และการให้บริการทางวัฒนธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินงานตามโครงการตลาดประชารัฐดังกล่าว จะสามารถสร้างโอกาสและรายได้ให้กับกลุ่มผู้ค้ารายใหม่ ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
     สำหรับการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย จะใช้กลไกของศูนย์ดำรงธรรมที่มีอยู่ทั้งในระดับจังหวัด และอำเภอ เป็นสถานที่รับลงทะเบียนให้กับผู้ที่ประสงค์จะมีพื้นที่ค้าขาย ได้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10 – 30 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งที่ประชุม มีมติให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมจัดทำรายละเอียดข้อมูลของตลาดประชารัฐที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ ทั้งข้อมูลในด้านจำนวนตลาด จำนวนผู้ค้า ระยะเวลาดำเนินการ และพื้นที่ดำเนินการ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ที่สนใจ ใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำเว็บไซต์ ตลาดประชารัฐ www.market.moi.go.th เพื่อเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมตลาดประชารัฐ รวมถึงการติดต่อและสอบถามข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
     รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินงานตามโครงการตลาดประชารัฐ บรรลุตามเป้าหมาย กระทรวงมหาดไทย จะได้จัดอบรมเรื่องการลงทะเบียนตามโครงการดังกล่าว ให้กับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง โดยจะจัดอบรมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) ในวันที่ 31 ตุลาคม นี้ ซึ่งกลุ่มผู้เข้ารับการอบรม ได้แก่ ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหรือผู้แทน และ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพัฒนาการจังหวัด สำนักงานท้องถิ่นจังหวัด สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ธ.ก.ส. ในพื้นที่ และ สำนักงานเกษตรจังหวัด ทั้งนี้ คาดหวังว่าทุกหน่วยงานจะร่วมกันผนึกกำลังเพื่อพัฒนาตลาดประชารัฐเพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด จะสามารถเพิ่มพื้นที่ตลาดได้ รวม 6,523 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจังหวัดจะได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประสงค์พื้นที่ค้าขายลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการต่อไป 







วันองค์การบริหารส่วนจังหวัด

                                      

เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2560 เวลา 08.30 น.นายมลฑล ไกรวัตนุสสรณ์นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาครเป็นประธานในพิธีทำบุญงาน"วันองค์การบริหารส่วนจังหวัด" ซึ่งได้มีพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง ทำบุญเลี้ยงพระเพล ทั้งนี้ยังได้ร่วมกันบริจาคโลหิต ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร

ด้านนายมลฑล ไกรวัตนุสสรณ์ ได้กล่าวว่า  องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาครซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ทางและการได้กระจายอำนาจให้ประชาชนในจังหวัดเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยตรงซึ่งผลงานที่ผ่านมาทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายสภาได้ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริงให้สมกับที่ประชาชนเลือกตั้งพวกเราเข้ามาต้องขอขอบคุณท่านประธานสภาสมาชิกทุกท่านทีมงานฝ่ายบริหารข้าราชการและเจ้าที่ทุกฝ่ายและพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ได้ร่วมมือด้วยดีตลอดมา และเราจะร่วมมือกันเช่นนี้ต่อไปเพื่อสร้างสมุทรสาครของเราให้เป็นเมืองน่าทำงานบ้านน่าอยู่อาศัยก้าวไกลด้วยการศึกษาพัฒนาอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาครให้จงได้











ผกก.คนใหม่ลั่นรื้อคดีเผาสวนงูโอเอภูเก็ต หลังถูกดองนาน 5 ปี-แฉหลักฐานถึงตัวผู้จ้างวาน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเผาสวนงูโอเอ ที่จ.ภูเก็ต เมื่อ5 ปีก่อน มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดและพยานบุคคลซัดทอดไปถึงกลุ่มบุคคลที่บุกเข้าไปทำร้ายรปภ. รวมทั้งรู้ตัวผู้จ้างวาน แต่คดีกลับถูกดอง  เมื่อร้องไปที่ตำรวจกองปราบ ถูกโบ้ยให้ทำตามขั้นตอนที่ตำรวจท้องที่ก่อน  หากไม่คืบหน้ากองปราบจึงจะรับคดีติดตามคลี่คลาย  ล่าสุดผู้กำกับคนใหม่ลั่นพร้อมสานต่อเร่งไล่ล่ามือเพลิงพร้อมผู้จ้างวาน เอ่ยขอโทษ มั่นใจคดีนี้ผู้เสียหายต้องได้รับความเป็นธรรม
จากกรณีที่ทายาทโอเอบุกร้องกองปราบเมื่อวันที่ 9 ต.ค.60  เข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผบก.ป.เพื่อให้ช่วยติดตามความคืบหน้าคดีทำร้ายร่างกายและคดีเผาบริษัท ภูเก็ตเฮลตี้นูทรีเม้นท์ จำกัด  แต่ทางกองปราบฯให้กลุ่มผู้เสียหายเดินทางไปสอบถามกับพนักงานสอบสวนสภ.ฉลอง เจ้าของคดีติดตามความคืบหน้าคดีสวนงูถูกวางเพลิงโดยกลุ่มชายฉกรรจ์และทำร้ายพนักงานบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นพิการ 
โดยเหตุเกิดมาตั้งแต่เดือนเมษายนพ.ศ.2555  ตามที่เป็นข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค.60 ที่สภ.ฉลอง  จ.ภูเก็ต นายอนุชิต ไชยทองงาม อายุ 29 ปี อดีตพนักงานรักษาความปลอดภัย บริษัท ภูเก็ตเฮลตี้นูทรีเม้นท์ จำกัด บริษัทในเครือโอเอทรานสปอร์ต พร้อมนายณัฐพล จันทร์อุไร ทนายความ โดยนายอนุชิต ผู้เสียหาย เดินทางมาด้วยสภาพร่างกายที่พิการ พร้อมอาการกระทบกระเทือนทางสมอง เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรฉลอง จ.ภูเก็ต กรณีถูกทำร้ายร่างกายขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริษัท และมีการลอบวางเพลิงบริษัทเมื่อวันที่ 23 เม.ย.55 โดยร้องขอให้ทางตำรวจติดตามความคืบหน้าคดีให้ด้วย เนื่องจากว่ายังไม่สามารถจับผู้ต้องหานำมาลงโทษได้ ที่ผ่านมาคดีก็เงียบ และที่สำคัญคดีถูกยกฟ้องไปบางส่วนเมื่อต้นปี 2560 ทั้งๆ ที่มีสอบสวนพยานและรู้ตัวผู้ต้องหาทั้งหมดชัดเจน

รวมถึงผู้จ้างวาน ซึ่งมีอยู่ในบันทึกคำให้การเมื่อต้นปี 2559 ตนเองในฐานะผู้เสียหายมีความกังวลอย่างมาก อยากได้รับความเป็นธรรม เพราะตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้นกับตนเอง ความจริงทุกอย่างก็อยู่ในมือตำรวจแล้วแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคดีถึงถูกยกฟ้อง ทำให้ปัจจุบันตนอยู่อย่างหวาดระแวง และท้อใจในการใช้ชีวิต  เพราะจากสภาพร่างกายที่พิการ จากที่เคยเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว ก็ต้องเป็นภาระให้พ่อแม่ และสุดท้ายคดีความก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้ามาเรียกร้องกับท่านผู้กำกับ สภ.ฉลอง ที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ ให้รื้อคดีให้ตนเองอีกครั้ง

พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับ สภ.ฉลอง กล่าวว่า ทราบเรื่องเบื้องต้นแล้ว พร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย และวันนี้ได้ให้นายอนุชิต ผู้เสียหายให้ปากคำไว้ อีกครั้ง เพื่อเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมทั้งอยากเชิญเจ้าของบริษัทที่ถูกลอบวางเพลิงเข้ามาให้ปากคำเช่นกัน เท่าที่ทราบตอนนี้พบเอกสารการสอบปากคำพยานและผู้ต้องหาที่ให้การซัดทอดไปถึงผู้จ้างวานที่กองปราบฯส่งมาให้เมื่อปี 59 ไม่ได้ถูกส่งประกอบสำนวนฟ้องให้ทางอัยการซี่งตนจะปรึกษาอัยการอีกครั้งเพื่อรื้อคดีนี้"ผมต้องขอโทษด้วยเพราะเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง"

แหล่งข่าวกล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ชาวภูเก็ตให้ความสำคัญมาก พร้อมมีการพนันขันต่อกันว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าผลประโยชน์ด้านเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องการการท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงในแต่ละปีนับหมื่นล้านบาท และบริษัทโอเอก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการท่องเที่ยว ประกอบกิจการมายาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งบริษัทที่เปิดใหม่ต่างหวังจะช่วงชิงเม็ดเงินทางด้านการตลาด และวันนี้ก็มีเพียง 4 บริษัทเท่านั้นที่ก้าวขึ้นมาเทียบชั้น โดยนำเม็ดเงินการลงทุนมาจากต่างประเทศ

โดยชาวจีนอดีตเป็นไกด์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง   ใช้กลยุทธ์แบ่งปั่นหุ้นส่วนบริษัทส่วนหนึ่งให้กับกลุ่มคนมีสี ทั้งนอกราชการและในราชการ แต่งงานกับหลานสาวนายตำรวจระดับสูงยศพล.ต.อ.และอดีตรัฐมนตรีสมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจนได้สัญชาติไทยเป็นผู้มาบริหารงานและดูแลกิจการยังเป็นอดีตนายตำรวจหญิงระดับสารวัตรอีกด้วย ดังนั้นทำให้ศักยภาพในการบริหารงานเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะบางสิ่งบางอย่างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะไม่กล้าเข้าไปตรวจให้สอบหรือไปตอแยด้วย อาทิ การจอดรถทัวร์ในที่ห้ามจอด  การใช้ไกด์เถื่อนจากต่างชาติ  สินค้าละเมิด ข่มขู่คุกคามมัคคุเทศก์ และนักท่องเที่ยว ทำให้ค้าขายสะดวกสบาย 

แหล่งข่าวระดับสูงจากกลุ่มไกด์ เปิดเผยว่า การเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัททัวร์แห่งนี้เพียง 5-6 ปี ก็ก้าวขึ้นสู่บริษัทชั้นนำของประเทศไทย และความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นเผาทำลายบริษัทโอเอคู่แข่งรายใหญ่  น่าแปลกที่หลักฐานพยานมัดแน่นเกือบทุกด้านแต่คดีกลับอืดอาดไม่คืบหน้า จึงเชื่อว่าคดีนี้คงจะจบลงที่เงียบไปเฉยๆ พร้อมกับการเติบโตของบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่รายใหม่ที่ถือหุ้นโดยผู้กองอดีตทหารคนดังและพล.ต.อ.อดีตนายใหญ่แห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ   


*******************




ก.เกษตรเจ้าภาพจัด"“ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม”6-26 พ.ย.นี้ เชิญชวนชม ชิม ช้อป สินค้าเกษตรคุณภาพดีจากเกษตรกรทั่วประเทศ





“ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” 6-26 พ.ย.นี้ เตรียมยกขบวนสินค้าเกษตรคุณภาพ เกรดพรีเมี่ยมจากเกษตรกรไทยทั่วประเทศ มาจำหน่ายหวังกระตุ้นผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพ  และเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่เกษตรกร   

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.60  นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะ ประธานคณะกรรมการดำเนินการโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม พร้อมนางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม”  โดยกระทรวงเกษตรฯ  เป็นเจ้าภาพ ณ ทำเนียบรัฐบาล 
นางสาวเรณู    กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  มอบหมาย ให้ส่วนราชการต่างๆ ดำเนินการจัดงานตลาดนัดสินค้าชุมชน บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล ริมคลองผดุงกรุงเกษม มาอย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันนั้น รวมจัดมาแล้วทั้งสิ้น 35 ครั้ง ผลปรากฏว่า ได้รับการตอบรับจากผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี นอกจากจะมีแหล่งจำหน่ายสินค้าโดยตรง

                                                                   เรณู 

จากผู้ผลิตให้กับผู้ซื้อ หรือผู้บริโภคแล้ว  ยังเป็นตลาดชุมชนสำหรับผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนเกษตรกร ได้มาจำหน่าย สินค้า เพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือน รวมทั้งเป็นตลาดต้นแบบสำหรับการขยายผลสู่ตลาดนัดชุมชน 4.0 ตลาดประชารัฐ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายในการขับเคลื่อนการจัดตั้งและขยายผลทั่วประเทศ เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา และในเดือนพฤศจิกายนนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพอีกครั้ง   โดยใช้ชื่อว่า  “ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” ระหว่างวันที่ 6 – 26 พฤศจิกายน 2560   

      นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน  กล่าวเสริมว่า กระทรวงเกษตรฯ กำหนดรูปแบบครั้งนี้ภายใต้แนวคิด "ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” จะมีพื้นที่จำหน่ายสินค้าภายในงานกว่า 150 บูท  มีร้านค้าร่วมจำหน่ายสินค้าราว 300 ร้านค้า หมุนเวียนตลอด 3 สัปดาห์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ แนะนำสินค้า เกษตรคุณภาพ ได้มาตรฐาน เช่น สินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์ม GAP หรือเกษตรปลอดภัย ซึ่งใช้สัญลักษณ์ Q, สินค้าอินทรีย์ หรือออร์แกรนิคไทยแลนด์, สินค้าที่ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI , สินค้าแปรรูปที่นำมา จำหน่ายก็เป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบ Q หรืออินทรีย์ หรือผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP/HACCP, สินค้าคุณภาพ มาตรฐานจากแปลงใหญ่, จากโครงการข้าวครบวงจร Young Smart Farmer, จากสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 
                                                                            
รวมทั้งจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ โดยสินค้าที่จัดจำหน่ายในตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยมครั้งนี้  จะมีความหลากหลาย ทั้งสัตว์น้ำสวยงาม พันธุ์ไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ กล้วยไม้ สวนถาด ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวสี ผ้าไหม-ผ้าฝ้าย ปศุสัตว์ ประมง ผลิตภัณฑ์แปรรูป อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์นมจากสหกรณ์โคนม ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ, ส้มโอทับทิมสยาม GI จ.นครศรีธรรมราช, ส้มสายน้ำผึ้งที่ได้รับมาตรฐาน GAP ที่ปลูกในพื้นที่อุดมไปด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ  อ.ฝาง, ผลิตภัณฑ์เห็ดโคน-เห็ดเผาะในน้ำเกลือ, ไข่มดแดงกระป๋อง, ทุเรียนหลงลับแล ตลอดจนสินค้าเกษตรนวัตกรรม ต่างๆ  เช่น ปลาเค็มอบโอโซน ซึ่งใช้เทคโนโลยีเข้ามาในกระบวนการผลิตและบรรจุด้วยระบบสุญญากาศ, น้ำมันรำข้าวเพื่อ สุขภาพ,  มะนาวผง, เครื่องสำอางทั้งสบู่, ครีม , เซรั่มจากสินค้าเกษตร เช่น ข้าว, หัวหอม,  มังคุด, มาร์กหน้าจากใยไหม
" ในงานนี้ท่านจะได้พบกับสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัววางจำหน่าย เป็นครั้งแรก เช่น ข้าว กข 43 ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ เพื่อสุขภาพจากกรมการข้าว มีน้ำตาลต่ำเหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมน้ำตาลและผู้ป่วยเบาหวาน ปลาซิว สมพงษ์ ซึ่งเป็นปลาสวยงามที่สูญพันธุ์ไปจากไทยแล้วกว่า 30 ปี และไทยประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ขึ้นมาได้ รวมทั้งสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับปลากัดซึ่งเป็นปลาประจำชาติ เช่น แสตมป์, แก้วน้ำ, ผ้าพันคอ, ถุงผ้า"รองปลัดกระทรวงฯกล่าว

พร้อมระบุว่านอกจากนี้แล้วยัง มีร้านอาหาร หมุนเวียนจำหน่ายกว่า 90 ร้าน และมี Food Truck ด้วย โดยเป็นร้านอาหารชื่อดัง รวมทั้ง Q Restaurant ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งใช้วัตถุดิบปลอดภัยและสะอาด มีสุขอนามัย สินค้าจำหน่ายทั้งหมดจะแบ่งออกเป็น 9 โซน ได้แก่  1.โซน Young Smart Farmer และแปลงใหญ่   2.โซน GAP และ Organic 3.โซน Q Food Court 4.โซนผู้ประกอบการ 4.0  5.โซน Show Case 6.โซนนวัตกรรม  7.โซนไม้ดอกไม้ประดับและเครือข่าย 8.โซนหม่อนไหม แปลงใหญ่ และ 9.โซนข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวครบวงจร 
โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจทุกวัน ทั้งฝึกอาชีพด้านเกษตร-หัตถกรรม-การทำอาหาร-อาชีพเสริมโดยใช้วัตถุดิบหรือวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร การถ่ายทอดองค์ความรู้จากโครงการส่งเสริมการเกษตรตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กิจกรรมฝึกทำบัญชีผ่าน Smart Phone กิจกรรมการประกวดสัตว์น้ำสวยงามผ่านระบบออนไลน์ กิจกรรมสาธิตระบบนวัตกรรมตลาดสินค้าเกษตร : ผู้ซื้อพบผู้ขายออนไลน์ กิจกรรมส่งเสริมการขายซึ่งมีทุกวัน เป็นต้น 

ดังนั้นนับเป็นโอกาสดี ที่กระทรวงฯ  ได้รับมอบหมายอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 และพร้อมจะนำสินค้าเกษตรคุณภาพดี ทั้งผัก ผลไม้ เทคโนโลยีทางการเกษตร รวมถึงสินค้าแปรรูป จากวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ และเกษตรแปลงใหญ่ นำเสนอตลอดระยะเวลาในเดือนพ.ย. นี้ ภายใต้ชื่อ  “ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” ระหว่างวันที่ 6–26 พ.ย.นี้  ณ บริเวณเลียบคลองผดุง กรุงเกษม จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจ เข้าร่วม ชม ชิม ช้อป สินค้าเกษตรคุณภาพดีของเกษตรกรไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกซื้อสินค้าเกษตรคุณภาพเป็นของขวัญปีใหม่  เพื่อร่วมเป็นส่วสินค้าเกษตร สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน”









*******************


วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

มาแล้วรถดับเพลิง ปลัดนาดี ออกหนังสือยืมจาก ต.บางปลา

                               
มาแล้วรถดับเพลิง
ปลัดนาดี ออกหนังสือยืมจาก ต.บางปลา

พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฎิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี ต.นาดี   ออกหนังสือยืมจาก ต.บางปลา 1 คัน เพื่อนำมาใช้คั้นเวลาก่อน รอรถใหม่และระหว่างซ่อมบำรุงรถชำรุด
สืบเนื่องมาจากเพจของหนังสือพิมพ์ชี้ชัดเจาะลึก ได้นำเสนอประเด็นปัญหารถดับเพลิงต.นาดี ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทั้งหมดเนื่องจากเสีย และยังไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนจากผู้รับผิดชอบสูงสุดในต.นาดี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของ พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฎิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี ต.นาดี
ต่อมาภายหลังได้มีกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในต.นาดี รวมตัวกันยื่นเรื่องให้ศูนย์ดำรงธรรมสมุทรสาครติดตามเร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งทางศูนย์ดำรงธรรม ก็ส่งเรื่องให้ทาง พันจ่าเอก อัษฎางค์  วิเศษวงศ์  รับไปดำเนินการอย่างเร่งด่วนเช่นกัน แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม  ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผ่านเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ที่ไม่มีรถดับเพลิงไว้ในปฎิบัติหน้าที่ และรู้สึกอึดอัดกับแนวทางแก้ปัญหาของปลัดเทศบาลคนนี้เป็นอย่างมาก

ต่อมา พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฎิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี ต.นาดี
ทนต่อกระแสกดดันไม่ไหว จึงได้ตั้งโต๊ะแถลง เรื่องนี้ โดยระบุว่า  เรื่องการซ่อมนั้น ในช่วงเดือนธันวาคม ได้อนุมัติไป 1 คัน แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาถึงรายละเอียดเรื่องราคาก็พบว่า มีข้อติดขัดใน 2 จุดที่เห็นว่าราคาซ่อมแพงเกินไป จึงได้ชะลอเรื่องนี้ไปก่อนและได้ส่งเรื่องให้ไปพิจารณาใหม่
ส่วนการซ่อมคันที่สองนั้น ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ ซึ่งตอนนี้ก็ได้แผนออกมาแล้วว่าจะซ่อมได้ในช่วงต้นปีหน้า ส่วนเรื่องการซื้อรถดับเพลิงคันใหม่นั้น ทางปลัดบอกว่า ได้มีการอนุมัติให้ซื้อรถขนาดใหญ่ขนาด 12,000 ลิตรไปแล้ว แต่ทางผู้ปฏิบัติงานนั้นเห็นว่าไม่สะดวกต่อการทำงาน อยากได้รถขนาดเล็ก
ดังนั้นการที่จะตั้งงบซื้อรถขนาดเล็กก็ต้องตั้งต้นนับหนึ่งกันใหม่และว่ากันไปตามกระบวนการและต้องผ่านการประชาคมจากชาวบ้านด้วย ส่วนระยะเวลาช่วงนี้ หากมีเหตุเพลิงไหม้ขึ้น ก็คงต้องประสานขอความช่วยเหลือจากพื้นที่ใกล้เคียงไปก่อน  แต่ในเบื้องต้นทางปลัดรับปากว่าจะหารถดับเพลิงจากที่อื่นมาสำรองใช้ไปก่อนระหว่างรองบประมาณในการซ่อมบำรุง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้รถมาเมื่อไหร่
ล่าสุดได้ทำหนังสือขอรับการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำดับเพลิงขนาด 6,000 ลิตร จากเทศบาลตำบลบางปลา มาใช้งานในพื้นที่ต.นาดีก่อนจำนวน 1 คันระหว่างรอรถคันใหม่ที่ได้อนุมัติงบสั่งซื้อไปแล้ว รวมถึงรถเสียที่กำลังจะดำเนินการซ่อมบำรุงในต้นปีหน้า
สำหรับรถที่ยืมมานี้จะมีสัญญาคืนในวันที่ 30 เม.ย. 2561







"จ่อแก้ กม.บำนาญชราภาพ ขยายอายุรับเงิน 55 ปีเ ป็น 60 ปี

                                     
"จ่อแก้ กม.บำนาญชราภาพ ขยายอายุรับเงิน55 ปีเ ป็น60 ปี เปิดวิธีคำนวณเงินเกษียณ"

หลังจากประเด็นวิพากษ์วิจารณ์การปรับเพิ่มเงินสมทบผู้ประกันตน จากเดิม 750 บาทต่อเดือนเป็นสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน โดยคิดคำนวณฐานค่าจ้างใหม่จากเดิมเงินเดือน 15,000 บาท เป็นสูงสุด 20,000 บาท เตรียมประกาศใช้อีก 3 เดือนข้างหน้า กระทั้งนายกรัฐมนตรีออกมาย้ำว่า ยังไม่ดำเนินการ เนื่องจากเครือข่ายแรงงานออกมาคัดค้านนั้น ล่าสุดเรื่องยังคงเดินหน้าต่อและยังมีการขยายอายุรับเงินบำนาญชราภาพอีก

เมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการประชาพิจารณ์ปฏิรูปกองทุนบำนาญชราภาพ ว่า เรื่องนี้ต้องแยกคนละส่วนกับกรณีการเพิ่มเงินสมทบผู้ประกันตนเงินเดือน 16,000-20,000 บาทขึ้นไป โดยกรณีนี้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นเมื่อปี 2559 แล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมาย ขั้นตอนคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จปี 2561 ขณะที่การขยายอายุรับเงินบำนาญชราภาพนั้น อยู่ระหว่างการประชาพิจารณ์ทั้งหมด 12 ครั้ง ผ่านการประชาพิจารณ์ไปแล้ว 6 ครั้ง  ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดพระนครศรีอยธุยา เชียงใหม่ พิษณุโลก กระบี่ และสงขลา โดยอีก 6 ครั้งที่เหลือจะทำใน  6 จังหวัด  คือ  ครั้งที่ 7  จังหวัดขอนแก่น วันที่ 3031 ตุลาคม 2560  ครั้งที่ 8  จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 67 พฤศจิกายน 2560  ครั้งที่ 9  จังหวัดระยอง วันที่ 13 -14 พฤศจิกายน 2560  ครั้งที่ 10 จังหวัดเพชรบุรี วันที่ 2021 พฤศจิกายน 2560  ครั้งที่ 11 จังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560  และครั้งที่ 12 กรุงเทพมหานคร วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560

โดยผล การประชาพิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการขยายอายุรับเงินบำนาญชราภาพ จากเดิมเกษียณอายุ 55 ปี เป็นอายุ 60 ปี แต่โดยระยะแรกก็จะเป็นไปโดยความสมัครใจ หากใครต้องการรับเงินบำนาญที่อายุ 55 ปีก็ทำได้เช่นเดิม เพียงแต่ในกรณีผู้ประกันตนที่ต้องการรับเงินตอนอายุ 60 ปีก็สามารถทำได้ ซึ่งตรงนี้เมื่อได้ข้อสรุปจะปรับแก้ในพ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2558  ซึ่งหากแก้ไขแล้วก็จะเป็นพ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับแก้ไขที่ 5) พ.ศ.2558 แทน แต่คงยังไม่รวดเร็วนัก เพราะต้องเป็นไปตามกระบวนการนพ.สุรเดช กล่าว

นพ.สุรเดช กล่าวว่า โดยการระดมความคิดเห็นนั้นจะมี 4 แนวทาง  คือ แนวทางที่ 1 คงอายุการรับเงินบำนาญชราภาพที่ 55 ปี และรับสิทธิประโยชน์การรับเงินบำนาญแบบเดิม  แนวทางที่ 2 ขยายอายุการเกิดสิทธิรับบำนาญตามหลักสากล และมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชดเชย หากไม่สามารถทำงานจนถึงอายุที่มีสิทธิรับบำนาญได้  แนวทางที่ 3 ขยายอายุการเกิดสิทธิรับบำนาญตามหลักสากลคือ 60 ปี และสามารถเลือกรับสิทธิประโยชน์บำเหน็จไปส่วนหนึ่งก่อนครบอายุรับบำนาญ แต่เมื่อครอบอายุเกิดสิทธิรับบำนาญ เงินที่ได้รับจะลดลง และแนวทางที่ 4  ขยายอายุรับบำนาญขั้นต่ำเฉพาะผู้ประกันตนใหม่ สำหรับผู้ประกันตนเดิมสามารถเลือกรับบำเหน็จส่วนหนึ่งก่อนครบอายุรับบำนาญ แต่เมื่ออายุครบรับบำนาญเงินจะลดลง  ซึ่งสามารถเข้าไปศึกษาและแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยกับแนวทางใดในเว็บไซต์ ของสำนักงานประกันสังคม http://www.sso.go.th

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสืบค้นในเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมเปิดเผยตัวเลขการคำนวณเงินรับ บำนาญชราภาพ โดยให้คำนวณดังนี้   เงินบำนาญ = [20% + (1.5%x จำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเกิน 180 เดือน)] x ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย

ข้อมูลจาก สปส.


ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า จากการสืบค้นในเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมเปิดเผยตัวเลขการคำนวณเงินรับ บำนาญชราภาพ โดยให้คำนวณดังนี้   เงินบำนาญ = [20% + (1.5%x จำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเกิน 180 เดือน)] x ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย  หรือ หากส่งเงินสมทบมา 15 ปี อัตราเงินบำนาญอยู่ที่ 20% ก็จะได้รับเงินบำนาญต่อเดือนที่ 3,000 บาท แต่หากส่งเงินสมทบ 20 ปี จะได้อัตราเงินบำนาญ 27.5 % จำนวนเงินรับบำนาญ 4,125 บาทต่อเดือน หากส่งเงินสมทบ 25 ปี อัตราเงินบำนาญ 35 %  จำนวนเงินรับบำนาญอยู่ที่ 5,250 บาทต่อเดือน หากส่งเงินสมทบ 30 ปี อัตราเงินบำนาญ 42.5% รับเงินบำนาญจำนวน 6,375 บาทต่อเดือน และหากสมทบ 35 ปี อัตราบำนาญอยู่ที่ 50% จะรับเงิน 7,500 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นกฎหมายที่ใช้ในปัจจุบัน