pearleus

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

มอบรางวัล" PanusThailand Logtech Award 2018" ปีที่2 ต่อยอดพัฒนาอุตสาหกรรม Logistics ไทย-ตามนโยบาย4.0

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โดยศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ร่วมกับบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Logistics ของประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดงาน PanusThailand  Logtech Award 2018 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “Logistics  is Everything”  โดยได้ผู้ชนะเลิศทั้งประเภทนักศึกษา และบุคคลทั่วไป/ผู้ประกอบการ ท่ามกลางการคัดเลือกของคณะกรรมการอย่างเข้มข้น โดยผู้ชนะเลิศสำหรับประเภทนักศึกษา ได้แก่ น้องๆ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ภายใต้ชื่อทีม “กอและ” กับผลงานที่ชื่อว่า “แอพพลิเคชั่นช่วยกระจายอาหารทะเลจากเรือประมงพื้นบ้าน”  ได้รับโล่เกียรติคุณและเงินรางวัล 30,000 บาท

ส่วนผู้ชนะเลิศสำหรับบุคคลทั่วไป / ผู้ประกอบการ ได้แก่ นาย อานันท์ ประเสริฐรุ่งเรือง ภายใต้ชื่อทีม “Airportels” กับผลงานที่ชื่อว่า “บริการรับฝากขนส่งกระเป๋าสัมภาระ”  ได้รับโล่เกียรติคุณและเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมไปศึกษาดูงานที่ประเทศเยอรมนี โดยมีคุณพนัส วัฒนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พนัส  แอสเซมบลีย์ จำกัด (กลาง) และคุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) (ที่ 3 จากขวา) ร่วมมอบรางวัล ณ ห้องประชุมโกลว์ฟิช สาธร  เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561  โดยการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจด้านนวัตกรรม นำผลงานไปต่อยอดเชิงธุรกิจเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม Logistics ของประเทศไทย ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลต่อไป


**********************

พม.ประชุมกยค.ครั้งที่ 1/2561 เห็นชอบเพิ่ม flagship project ในแผนพัฒนาสถาบันครอบครัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31  สิงหาคม 2561 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ตึกแดง) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ (กยค.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ 1 ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยา เป็นรองประธานกรรมการคนที่ 2



ในการนี้ นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นเลขานุการ และ นางพรสม เปาปราโมทย์ รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ตลอดจนคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้บริหารและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วมการประชุมการประชุมดังกล่าวมีวาระเพื่อพิจารณาแนวทางการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2560 - 2564
และพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ระดับชาติ ประจำปี 2561 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เพิ่มเติมโครงการสำคัญ (flagship project) ในแผนปฏิบัติพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2560 - 2564 เนื่องจากเป็นโครงการที่มุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานเพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว โดยขอให้หน่วยงานนำโครงการสำคัญ (flagship project) ไปเป็นแนวทางในการปรับโครงการ/กิจกรรมในปีงบประมาณ 2562 รวมทั้งจัดทำโครงการในปีงบประมาณ 2563 ให้มีความสอดคล้องกับโครงการสำคัญตามที่เสนอ

โดยมอบหมายให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว (กสค.) ไปดำเนินการขับเคลื่อนและติดตามประเมินผลให้เป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งได้เห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนข้อเสนอสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2561 ทั้ง 3 แนวทาง คือ 1) การสร้างเจตคติความเท่าเทียมทางเพศ (Re-thinking) 2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากร (Re-enforcement) และ 3) การจัดการความรู้และระบบการบริหารจัดการเพื่อป้องกันความรุนแรงในครอบครัว (Re - arrangement) ซึ่งจะมีความสอดคล้องกับเชื่อมโยงโครงการสำคัญ(flagship project) เช่นเดียวกัน ซึ่ง   การดำเนินงานดังกล่าวจะทำให้การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ.2560 - 2564 สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น


*****************

ชวนเที่ยวงาน “ภูมิปัญญาท้องถิ่นปราจีนบุรี สัมมาชีพสร้างรายได้ ให้ชุมชน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จังหวัดปราจีนบุรี และสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดปราจีนบุรีจัดงานแสดงผลการดำเนินงานและนิทรรศการเชิดชูเกียรติสรุปผลความสำเร็จของการขับเคลื่อนกิจกรรม ภายใต้ชื่องาน “ภูมิปัญญาท้องถิ่นปราจีนบุรี สัมมาชีพสร้างรายได้ ให้ชุมชน” จัดระหว่าง 29-31 สิงหาคม 2561 ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 หน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆ ทั้งจับสลากรางวัลชิงโชคแก่ผู้เข้าร่วมงาน และการแสดงของศิลปินบนเวทีทุกวัน การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งเพื่อชิงเงินรางวัล

นายพิบูลย์ หัตถกิจโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี  และ นางบุญทิวา วรรณประเวศ พัฒนาการจังหวัดปราจีนบุรี ร่วมพิธีเปิดงาน “ภูมิปัญญาท้องถิ่นปราจีนบุรี สัมมาชีพสร้างรายได้ ให้ชุมชน” การจัดแสดงผลการดำเนินงานและนิทรรศการเชิดชูเกียรติสรุปผลความสำเร็จของการขับเคลื่อนกิจกรรม ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 หน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี

นายพิบูลย์  กล่าวว่า จังหวัดปราจีนบุรี ดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ชุดที่ 1 กิจกรรมย่อย พัฒนาศักยภาพภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสร้างสัมมาชีพของชุมชน เพื่อพัฒนาคน พัฒนาพื้นที่ ให้บริหารจัดการชุมชนโดยสร้างอาชีพพัฒนาชีพครัวเรือนต้นแบบ แล้วให้ขยายผลไปยังกลุ่มอาชีพ และชุมชนใน หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งภายในชุมชนเองและภายนอกชุมชน รวมทั้งสร้างโอกาสเพิ่มรายได้ ด้วยการ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์หมู่บ้าน เผยแพร่องค์ความรู้ ความสำเร็จที่เกิด
ขึ้นการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ให้สาธารณชนได้รับรู้ จึงกำหนดกิจกรรมการจัดแสดงผลการดำเนินงานและนิทรรศการเชิดชูเกียรติสรุปผล ความสำเร็จ

โดยใช้ชื่องาน “ภูมิปัญญาท้องถิ่นปราจีนบุรี สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ชุมชน” เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ องค์ความรู้ และการแสดงผลการดำเนินงานเชิดชูเกียรติสรุปผล ความสำเร็จของการขับเคลื่อนกิจกรรม ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบสัมมาชีพชุมชน ให้สาธารณชนได้รับรู้ เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มรายได้ในหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบสัมมาชีพชุมชนเป้าหมาย ให้มีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น อีกด้วย

นางบุญทิวา วรรณประเวศ พัฒนาการจังหวัดปราจีนบุรี เผยถึงภายในมีการจัดแสดงงานหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบสัมมาชีพชุมชน จำนวน 30  หมู่บ้าน และผลิตภัณฑ์ชุมชน จำนวน 48 ร้านค้า ที่นำมาจัดแสดงให้ได้ชมกัน  กิจกรรมต่างๆ ภายในงาน ได้แก่ การจับสลากรางวัลชิงโชคแก่ผู้เข้าร่วมงาน และการแสดงของศิลปินบนเวทีทุกวัน การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งเพื่อชิงเงินรางวัล


ภายในงาน “ภูมิปัญญาท้องถิ่นปราจีนบุรี สัมมาชีพสร้างรายได้ ให้ชุมชน” การจัดแสดงผลการดำเนินงานและนิทรรศการเชิดชูเกียรติสรุปผลความสำเร็จของการขับเคลื่อนกิจกรรม ได้จัดขึ้น ในวันที่ 29-31 สิงหาคม 2561 ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 หน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี จึงขอเรียนเชิญสื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมงานสนับสนุนและเผยแพร่ข่าวให้กระจายออกไป

********************

ททท.ชวนคนไทยร่วมสัมผัสเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชา เชื่อมโยงแอ่งท่องเที่ยวใน 5 ภูมิภาค พร้อมเชิญคณะทูตร่วมลงพื้นที่นำร่อง 5 เส้นทาง

ททท. เดินหน้าสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูรในการที่จะเผยแพร่และต่อยอดโครงการในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 กับโครงการแหล่งท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชาสู่การเชื่อมโยงแอ่งท่องเที่ยวใน 5 ภูมิภาค พร้อมเชิญคณะทูต  ในแต่ละประเทศร่วมลงพื้นที่นำร่อง 5 เส้นทาง


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า โครงการแหล่งท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชาสู่การเชื่อมโยงแอ่งท่องเที่ยว จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ภายใต้แนวคิด “Local Experience” หรือ “ประสบการณ์ท้องถิ่น” การเดินทางที่ผสานการเรียนรู้ ก่อให้เกิดความประทับใจ และทำให้เกิดการกระจายรายได้ นำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นการนำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่เชื่อมโยงจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย เพื่อการจัดการกับปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องน้ำ ดิน ป่า รวมถึงการน้อมนำและเผยแพร่หลักการทรงงาน และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านปัจจุบันโครงการในพระราชดำริที่มีอยู่ทั่ว
ประเทศไทย มากกว่า 4,700 โครงการ ได้กลายเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ประชาชนไทย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนและหลายโครงการมีความสวยงาม ความน่าสนใจ แสดงถึงเสน่ห์แห่งวิถีไทย และมีศักยภาพในการต้อนรับนักท่องเที่ยวสำหรับพื้นที่นำร่องใน 5 ภูมิภาค 5 เส้นทางของโครงการแหล่งท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชาสู่การเชื่อมโยงแอ่งท่องเที่ยว ได้มีการวางแผนและออกแบบเส้นทางโดยมีการเชื่อมโยงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่อยู่ในพื้นที่ของแต่ละจังหวัดเข้ากับสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในแอ่งท่องเที่ยว






โดยสถานที่ท่องเที่ยวมีหลายรูปแบบ เช่น หมู่บ้าน OTOP ศูนย์ศิลปาชีพ ย่านการค้า เป็นต้น และเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ความน่าสนใจของโครงการในพระราชดำริ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ความงดงามและความมีวัฒนธรรมชองชุมชนในแอ่งท่องเที่ยวต่างๆ ททท. จึงได้เชิญคณะทูตจากหลายประเทศลงพื้นที่สัมผัสและเรียนรู้จากพื้นที่จริง

ประกอบด้วย 1.เส้นทาง “ตามรอยศาสตร์พระราชา ณ เชียงใหม่” โครงการเกษตรวิชญา-ชุมชนบ้านไร่กองขิง จังหวัดเชียงใหม่ 2.เส้นทาง “ตามรอยศาสตร์พระราชา ณ บุรีรัมย์” โครงการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำต้นลำปะเทีย-ชุมชนบ้านโคกเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 3.เส้นทาง “ตามรอยศาสตร์พระราชา ณ ราชบุรี – นครปฐม” โครงการ 1 ไร่แก้จนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงในศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนทหารบก จังหวัดราชบุรี-ชุมชนบ้านศาลาดินจังหวัดนครปฐม

4.เส้นทาง “ตามรอยศาสตร์พระราชา ณ ระยอง” โครงการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ-ชุมชนปากน้ำประแส จังหวัดระยอง และ 5.เส้นทาง “ตามรอยศาสตร์พระราชา ณ เมืองคอน” โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง–ชุมชนบ้านแหลมโฮมสเตย์จังหวัดนครศรีธรรมราช

นอกจากนั้น ททท. ยังมีการส่งเสริมการตลาด และการประชาสัมพันธ์โครงการแหล่งท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชา สู่การเชื่อมโยงแอ่งท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์  ภายใต้กิจกรรม “ท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชา” โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปร่วมโหวตวิดีโอเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชาที่ชื่นชอบจาก 5 เส้นทาง บนเว็บไซต์ www.tourismthailand.org/kingwisdom เพื่อลุ้นรับแพ็กเกจท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชา ตั้งแต่วันที่ 6 - 31 สิงหาคม 2561 โดยจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีในวันที่ 7 กันยายน 2561

“โครงการแหล่งท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชา สู่การเชื่อมโยงแอ่งท่องเที่ยว” จะเป็นหนึ่ง    ในแนวทางส่งเสริมและพัฒนาด้านการตลาดที่ควบคู่ไปกับความเข้มแข็งของชุมชน ทั้งด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร การรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งการสร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นการเพิ่มทางเลือกที่น่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยในอนาคต ททท. จะทำการส่งเสริมและขยายผลเส้นทางการท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชาสู่โครงการในชุมชนอื่นๆ ต่อไป” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ททท. ยังหวังว่า โครงการแหล่งท่องเที่ยวตามรอยศาสตร์พระราชา สู่การเชื่อมโยงแอ่งท่องเที่ยว จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในพื้นที่ของแต่ละเส้นทาง โดยเฉพาะการกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยประมาณการเติบโตของรายได้ในแต่ละพื้นที่อย่างน้อย 20%


********************

SPCG จับมือ SMA ประกาศความร่วมมือ บริการเครื่องแปลงไฟฟ้าใช้ในโซลาร์ฟาร์มจากเยอรมัน ขยายฐานธุรกิจตั้งเป้าปี 63 รายได้แตะหมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG”มีบริษัทในเครือ คือ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด หรือ “SPE” ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ และ บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ “SPR”ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ให้บริการอย่างเป็นทางการ (AuthorisedSales & Service Partnership)ของ SMA Solar Technology AG (SMA) ประเทศเยอรมนีนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นมา ซึ่ง SPCGเป็นผู้ริ
เริ่มและผู้นำในการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทยและประชาคมอาเซียน (ASEAN) และธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof)ในประเทศไทย SMASolar Technology AG (SMA) ประเทศเยอรมนี เป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2560 SMAมียอดจำหน่ายกว่า 900 ล้านยูโร SMAมีผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อันทรงประสิทธิภาพ ทั้งแบบใช้ในบ้านพักอาศัย ใช้เพื่อการพาณิชย์ และใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ระบบของ SMAสามารถรองรับการต่อเชื่อมแบตเตอรี่ได้หลายประเภท นอกจากนี้ SMAยังมีความโดดเด่นในด้านการจัดการพลังงานอัจฉริยะ โซลูชั่นสำหรับพลังงานดิจิทัล การบริการที่ครอบคลุม และระบบปฎิบัติการสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ SMAเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ตแห่งประเทศเยอรมนีประเภท Prime Standard

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า SPCG เลือกใช้เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter)จาก SMAด้วยเชื่อมั่นในคุณภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของระบบ Inverter  ประกอบกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยโครงการโซลาร์ฟาร์มทุกแห่ง รวมทั้ง การให้บริการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ให้กับลูกค้าทุกราย บริษัทฯ เลือกใช้ Inverter จาก SMA              มาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อ SMA กำลังมองหา Strategic Partner ในภูมิภาคอินโดจีน และSPCGถือเป็นลูกค้าหลักที่มีสัดส่วนมากกว่า 60% ของจำนวน Inverter ทั้งหมดในภูมิภาคนี้ SPCGจึงเล็งเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ ในด้านการจัดจำหน่ายและการให้บริการทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน จึงทำให้ SPEและ SPR ซึ่งเป็นบริษัทในเครือได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนAuthorised Sales & ServicePartnershipอย่างเป็นทางการ ดูแลลูกค้าของ SMA ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีนอีก 4 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศเวียดนาม ลาว กัมพูชา และพม่า

Mr.Rakesh Khanna Managing Director of SMA India and South East Asiaกล่าวถึงด้านการจัดจำหน่ายว่า SPE จะเข้ามาเติมเต็มในบทบาทของ Authorised Sales Agent ซึ่งก่อนหน้านี้ ลูกค้าผู้ใช้ Inverter บางรายประสบปัญหาในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร เช่น เรื่องของกำแพงภาษา และเวลาที่ต่างกันของแต่ละประเทศทำให้ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวกในการติดต่อ และการบริการ SPE จึงเข้ามาช่วยทำให้ลูกค้าผู้ใช้ Inverter ทุกรายได้รับการบริการที่ดียิ่งขึ้นจากเดิม อีกทั้งยังสามารถช่วยแก้ปัญหาในเบื้องต้นให้ได้ หรือในกรณีที่ทางบริษัทฯไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็จะช่วยประสานงานพร้อมติดตามผล และการดำเนินงานให้แก่ลูกค้าด้วยส่วนของลูกค้ารายใหม่จะเริ่มจากในประเทศไทยและขยายออกไปในภูมิภาคอินโดจีน

ดร.วันดี กล่าวต่ออีกว่า SPR ในฐานะAuthorisedService Partnership จะได้ประโยชน์โดยตรงในฐานะที่เป็นผู้ใช้เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter)รายใหญ่ ประเด็นแรก คือเรื่องของความเชื่อมั่นในการให้บริการที่ดี เพราะ SMA เป็นที่ยอมรับในเรื่องของการบริการที่ดีและรวดเร็ว รวมถึงมีการรับประกันที่ยาวนาน การที่ SPR เข้ามาให้บริการในด้าน Customer Service จะทำให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่า การบริการที่จะได้รับจะเป็นมาตรฐานเดียวกันกับ SMAอย่างแน่นอน ประเด็นที่สอง ในด้านการจัดจำหน่ายเราจะยังคงรักษามาตรฐานการบริการด้านการจัดจำหน่ายที่ดีให้กับลูกค้า ประเด็นที่สาม การที่ได้เข้ามาทำงานด้านการบริการ ทีมงานของ

บริษัทฯ จะได้รับการฝึกอบรมในเชิงลึก จากเจ้าหน้าที่ของSMAเยอรมนีโดยตรงที่จะมาให้ความรู้ ยกระดับให้วิศวกรไทยของเรา มีความรู้ความสามารถในเรื่องของเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) เพิ่มขึ้น เทียบเท่าในระดับสากล จากประโยชน์ที่บริษัทฯ ได้รับนี้อาจจะส่งผลให้ธุรกิจนี้เป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯอีกทางหนึ่งในอนาคต

ด้าน Mr.JosephHelweg Head of Global Service Operations APACกล่าวในส่วนของ         การให้บริการว่า SMAประเทศไทยได้รับการยอมรับในเรื่องของบริการที่ดีและความรวดเร็ว เมื่อSPRเข้ามาเป็น Service Authorized Partnership ก็ยังจะรักษามาตรฐานการบริการในรูปแบบเดียวกัน โดย SPR มีทีมวิศวกรที่ได้รับการฝึกอบรมเชิงลึก จากเจ้าหน้าที่ SMA เยอรมนีทำให้มั่นใจได้ว่ามาตรฐานการบริการจาก SPR จะเทียบเท่ากับการบริการจาก SMA อย่างแน่นอน ทั้งนี้ SPR จะเปิด สายด่วน Call Centerในการรับทราบและแก้ไขปัญหาเบื้องต้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจและความรวดเร็วจากการให้บริการอย่างดีที่สุด



---------------------

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ตม.สค.สนธิกำลัง ฝ่ายปกครอง นำจับแรงงานเถื่อน รง.ย่านท่าทราย


ตม.สค.สนธิกำลัง ฝ่ายปกครอง นำจับแรงงานเถื่อน รง.ย่านท่าทราย
            พ.ต.อ.เดชรพี คงดี ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร นำเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายตม. ฝ่ายป้องกันจ.สมุทรสาคร และจนท.จากจัดหางานจ.สมุทรสาคร เข้าตรวจค้น บริษัท ยี่หลง อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด หมู่ 6 ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร  หลังได้รับร้องเรียนจากแหล่งข่าวที่ประสงค์ออกนาม ว่าโรงงานดังกล่าว มีการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย จึงได้รุดเข้าตรวจสอบ

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้จับกุมนางสาวไพลิน ดวงสนิท อายุ 29 ปี เจ้าของโรงงาน ในข้อหารับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน  คือ นายทออู อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา โดยนายทออู รับว่าตนเองได้หลบหนีเดินทางเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีใบอนุญาตทำงาน  เจ้าหน้าที่จึงได้นำแรงงานต่างด้าวมาที่สถานีตำรวจ และตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม โดยมีน.ส.ไพลิน  เจ้าของโรงงานนำเอกสารการจดทะเบียนบริษัท ฯ มาแสดง  จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมก็ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสอง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป










วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

อุตสาหกรรมความงามด้วยแพทย์มาแรง โต 20% "เมดิเซเลส"ตั้งเป้ายอดขายแตะ 1,000 ล้านบาทใน 5ปี พร้อมหนุนโครงการก้าวแรก เพื่อเด็กสมองพิการ


นายสุรวุฒิ วูวงศ์ ผู้บริหารสูงสุดบริษัท เมดิเซเลส จำกัด เปิดเผยว่า ในขณะนี้อุตสาหกรรมความงามด้วยแพทย์ มีการเติบโตขึ้นอย่างมากในประเทศไทย  โดยเฉพาะตลาดความงามด้วย โบท็อกซ์ และ ฟิลเลอร์ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 20% ทั้งนี้หากแยกเป็นตลาด โบทูไลนุ่ม ทอกซิน เอ (โบท็อกซ์) ตลาดมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15 %  ส่วนตลาดสารเติมเต็มบริสุทธิ์ มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก อยู่ที่ 30-40%

โดยอุตสาหกรรมความงามด้วยแพทย์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูงสุดติดอันดับ 1-2 ของอุตสาหกรรมดาวรุ่ง และเชื่อว่าจะคงเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี เนื่องจากคนไทยร่วมให้ความสำคัญกับการดูแลความสวยความงามของตัวเองมากขึ้น และเพื่อเป็นการพัฒนาตลาดความสวยงามโดยแพทย์   บริษัท เมดิเซเลส จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายยา “นิวโรน็อกซ์”กระจายสินค้าแต่เพียงผู้เดียวในคลินิกความสวยงามและโรงพยาบาล พร้อมให้บริการด้านการตลาด  รวมถึงการจัดกิจกรรมด้านการอบรมสนับสนุนให้แพทย์ที่สนใจ  เพื่อพัฒนาองค์ความรู้แก่แพทย์ควบคู่กับการพัฒนาทักษะการใช้ผลิตภัณฑ์ให้เกิดผลสมบูรณ์อย่างไร้ผลข้างเคียง  เพื่อความน่าเชื่อถือในการส่งมอบมาตรฐานและคุณภาพผลิตภัณฑ์ในระดับโลก 

"ส่งผลให้ยานิวโรน็อกซ์  ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่ากึ่งหนึ่งของยาประเภทเดียวกันที่ส่งเข้าจำหน่ายในประเทศไทย ล่าสุดทางบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนยานิวรามีส (Neuramis) ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา  วางตลาด ยานิวรามีส (HA Derma filler) อันดับหนึ่งของเกาหลี โดยยานิวรามีสมีส่วนแบ่งเกิน 5% ของตลาดสารเติมเต็ม HA DERMA FILLER"นายสุรวุฒิ กล่าว

พร้อมระบุว่า ปัจจุบันทางบริษัทฯ เป็นผู้นำในตลาดโบทูไลนุ่มทอกซิน ในประเทศไทย จัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจยาขนาดกลาง (รายได้ 5-1000 ลบ.) จากยอดขายของปีก่อนหน้าที่ทำยอดขายไปถึง 300-400 ล้านบาท  ตั้งเป้าเติบโตเข้าสู่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ทำยอดขายให้ถึง1,000 ลบ. ขึ้นไป ภายใน 5 ปี   โดยการพัฒนาธุรกิจในฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางการให้บริการการขาย ผ่านแอปพลิเคชันและสัมมนาทางการแพทย์ การอบรมแพทย์ สร้างองค์กรให้เป็นที่ประจักษ์รับรู้ในกลุ่มแพทย์ด้านความสวยงาม การดูแลสุขภาพตนเองให้คงความงาม ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมามีการนำเข้าสินค้าอย่างผิดกฎหมาย การละเมิดเครื่องหมายการค้า และการปลอมแปลงผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยา

"ปีที่แล้วซึ่งเป็นเปิดตัวบริษัท เมดิเซเลส เราสามารถทำยอดขายเติบโตถึง 40% แต่สำหรับปี 2561 ทางบริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตจากปีก่อนไว้ที่  25% โดยประมาณ ซึ่งเรามียานิวโรน็อกซ์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ที่ 55% และปีนี้เราก็หวังว่า มันจะมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 60%  พร้อมกันนี้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  เราเพิ่งเปิดขายตัวยากลุ่มสารเติมเต็ม (ฟิลเลอร์) ในชื่อ นิวรามีส ซึ่งเพียง 6 เดือนเราก็ได้ส่วนแบ่งการตลาดถึง 5% ซึ่งถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่ทำได้"  นายสุรวุฒิ กล่าว

อย่างไรก็ดี ทางบริษัท เมดิเซเลส ได้วางแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างน้อยปีละ 1 ผลิตภัณฑ์ ทั้งในกลุ่มสารเติมเต็ม, ยาสลายไขมัน, และกลุ่มอาหารเสริม นอกจากนี้จะมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น  โดยปีก่อน มีคลินิคความงามที่ใช้สินค้าของบริษัท 1,100 แห่ง ปีนี้จะเพิ่มเป็น 1,500 แห่ง รวมถึงจะมีการเพิ่มช่องทางโรงพยาบาลที่มีแผนกความงามเพิ่มขึ้นด้วย โดยปัจจุบันคลินิกความงามของประเทศไทย มีกว่า 6,000 สาขา แต่บริษัท เมดิเซเลส ได้เข้าถึง 1,000 กว่า สาขา ดังนั้นจึงมีโอกาสอีกมากที่จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโต

นายสุรวุฒิ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมคืนกำไรสู่สังคม ด้วยโครงการบริจาคยา อุปกรณ์ สนับสนุนโครงการก้าวแรก โดยจัดตั้งกองทุนขึ้นเพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจของโรคสมองพิการต่อทุกสังคมทุกช่องทาง และช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองพิการที่ขาดโอกาสที่จะเข้าถึงยาได้  และมีปัญหาไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาอาการและอาการแสดง   ด้วยปัจจุบันนี้ ได้มีโรคสมองพิการ ที่เป็นปัญหาในการรักษา โรคนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กและได้รับความทุกข์ทรมาน โรคนี้มักจะเกิดในครอบครัวที่มีรายได้น้อยขาดการดูแลตนเองก่อนคลอดและยังขาดความรู้ความเข้าใจ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง โอกาสที่จะเข้าถึงยาก็มีน้อยมาก ทั้งนี้ รายได้ของกองทุนจากการสนับสนุนของทางบริษัทฯ ,เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาค และรายได้เกิดจากการจัดกิจกรรม

*******************

หนุ่มเมียนมาร์ น้อยใจแฟนผูกคอตาย..




เมื่อวันที่​ 29 สิงหาคม​ 2561 ​เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.โคกขาม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิการกุศลสมุทรสาครรุดไปตรวจสอบเหตุมีคนผูกคอเสียชีวิตในห้องพักชั้นสอง ม.4 ต.โคกขาม​อ.เมือง​จ.สมุทรสาคร

ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตเป็นชายชาวพม่าทราบชื่อนาย SA NU CHAN อายุ 28 ปีใช้เชือกไนล่อนผูกคอตนเองกับลูกกรงเหล็กด้านหลังห้องพักเสียชีวิต​  สภาพศพอู่ในท่ายืน​สวมใส่เสื้อสีดำนุ่งโสร่งลายตรวจสอบตามร่างกายไม่พบบาดแผล

 สอบถามผู้พบศพเล่าว่าตนเงยหน้ามองขึ้นไปเห็นมีคนผูกคอตายจากด้านหลังห้องพักชั้น2จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเพื่อนห้องพักเดียวกันได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อสองวันก่อน  นาย SANU ทะเลาะกับแฟนสาวและได้ลงมือทำร้ายร่างกายแฟนโดยได้ตบตีพร้อมไล่แฟนสาวไปอยู่ที่อื่น แต่แฟนไม่ยอมกลับมาจึงอาจ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเครียดจนผูกคอตัวเองเสียชีวิต

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มอบศพให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิการกุศลสมุทรสาครนำส่งสถาบันนิติเวอชเพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต.

เงาพญาราหู รายงาน