pearleus

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

จังหวัดนครปฐมเปิดงานประมูลหมายเลขทะเบียนรถเลขสวย ครั้งที่ 6 ในหมวดอักษร กบ ซึ่งหมายถึง ก้าวหน้า ร่ำรวย มากด้วยบารมี สมทบเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน

วันที่ 29 สิงหาคม 2558 นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธานเปิดงานประมูลหมายเลขทะเบียนรถเลขสวย จังหวัดนครปฐม ครั้งที่ 6 ณ โรงแรมไมด้า ทวารวดี แกรนด์ อำเภอเมือง โดยนายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมให้การต้อนรับ  

นายสมสุข ประภาสเพ็ญ ขนส่งจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า การจัดประมูลหมายเลขรถเลขสวยในครั้งนี้ เพื่อนำหมายเลขทะเบียนรถ ซึ่งเป็นที่ต้องการหรือเป็นที่นิยมของประชาชนออกการประมูลเป็นการทั่วไปอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อนำเงินรายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หรือ กปถ. ซึ่งเงินกองทุนฯดังกล่าวจะนำไปรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนนอีกด้วย สำหรับการประมูลที่ผ่านมาทั้ง 5 ครั้ง มียอดเงินรายได้เข้ากองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 104,314,000 บาท โดยในปีงบประมาณ 2552 - 2557 จังหวัดนครปฐมได้รับเงินอนุมัติค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการอันเนื่องมาจากการประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน จำนวน 176 ราย รวมเป็นเงินจำนวน 9,512,300 บาท 

สำหรับการประมูลหมายเลขทะเบียนรถเลขสวยในครั้งนี้ สำนักงานขนส่งจังหวัดนครปฐม ได้นำแผ่นป้ายทะเบียนรถ จำนวน 301 หมายเลข ในหมวดอักษร กบ ซึ่งหมายถึง ก้าวหน้า ร่ำรวย มากด้วยบารมี เข้าประกอบพิธีอธิษฐานจิต โดยหลวงปู่แผ้ว ปวโร วัดรางหมัน อำเภอกำแพงแสน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ชนะการประมูล ซึ่งในเบื้องต้นมีผู้ชนะการประมูลหมายเลขทะเบียน กบ 9999 นครปฐม ด้วยราคาปิดประมูลที่  1,700,000 บาท คือ นายพิมาย ศรีบุญรอด เจ้าของกิจการรถเกี่ยวข้าวในพื้นที่อำเภอบางเลน โดยนายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้เป็นประธานมอบป้ายทะเบียนและภาพองค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ชนะการประมูลหมายเลขทะเบียนยอดนิยม ได้แก่ กบ 8888 ด้วยราคาปิดประมูล 1,110,000 บาท , กบ 1111 ด้วยราคาปิดประมูล 900,000 บาท , กบ 5555 ด้วยราคาปิดประมูล 777,777 บาท , กบ 7777 ด้วยราคาปิดประมูลที่  555,000 บาท และ กบ 8899 ด้วยราคาปิดประมูล 480,000 เป็นต้น



ภาค 7จับเครือข่ายคดีค้ามนุษย์ ยุพาฟาร์ม จ.นครปฐม

แถลงข่าวเครือข่ายคดีค้ามนุษย์ยุพาฟาร์ม จ.นครปฐม พลตำรวจโทวีรพงษ์ชื่นภักดีผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7  พลตำรวจตรีวรพัฒน์  วัฒนวิศาล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พลตำรวจตรีสุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พลตำรวจตรีสุรชัย  ควรเดชะคุปต์รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7  ได้รับนโยบายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของรัฐบาลทำการขุดฐานการจับกุมและปราบปรามอย่างเด็ดขาด กับผู้ที่กระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในพื้นที่โดยสั่งการให้ พลตำรวจตรีพจน์ บุญมาภาคผบก. ภ.จว. นครปฐม พลตำรวจตรีประภากร  ริ้วทองผบก. บก. สส.ภ.7 พลตำรวจเอกรัตนะ  ปานจันทร์รองผบก. ภ.จว. นครปฐม พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจตำบลสามควายเผือกน้ำโดยพันตำรวจเอกอนุพัน  จันทึกรองผบก. ภ.จว. นครปฐมรักษาการผกก. สภ. สามควายเผือกพันตำรวจโทสุวิน กูลรัตนกิตติวงศ์ รองผกก. ป. สภ. โพรงมะเดื่อรักษาราชการแทนรองผกก. ป. สภ. สามควายเผือก พันตำรวจโทภาณุทัต  เหลืองสัจจกุลสว. สส. สภ. เมืองนครปฐมรักษาราชการแทนรองผกก. สส. สภ. สามควายเผือก พันตำรวจตรีสาโรจน์  ถิรโชติพงศา สว.กก. สส. ภ.จว. นครปฐม รักษาราชการแทนสว. สส. สภสามควายเผือก กล่าวคือ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 08.00 น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ทหารได้ร่วมกันจับกุมตัวนายชัยเดช โสนุชอายุ 56 ปี และนางยุพา โสนุชอายุ 53 ปี ได้ที่บริเวณฟาร์มหมูยุพาตั้งอยู่ที่ 140  หมู่ที่ 9 ตำบลมาบแค อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมและได้ทำการช่วยเหลือคนงานชาวลาวจำนวน 13 คนเป็นผู้ใหญ่ 2 คนเป็นเด็ก 11คน ที่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ภายในฟาร์มหมูดังกล่าว ซึ่งมีลักษณะมีรั้วรอบขอบชิด ด้านหลังเป็นที่พักของคนงานชาวลาวเป็นห้องแถว แต่มีการเอาเหล็กมาเสริมปิดล้อมห้องแถวของคนงานชาวลาวจากการสอบถามคนงานชาวลาวให้การว่าได้ถูกนายจ้างคือนายชัยเดชและนางยุภาทำร้ายร่างกายและให้ทำงานตั้งแต่ 06.00 น.ถึง 24.00 น ของทุกวัน โดยจะได้รับค่าจ้าง 6,000-7,500 บาท ต่อคนต่อเดือนแต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายค่าจ้าง นายชัยเดชกลับไม่จ่ายค่าจ้างให้กับคนงานชาวลาว ตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อถึงเวลานอนนายชัยเดชได้ให้คนงานชาวลาวอยู่ในห้องแถวที่เสริมด้วยเหล็กโดยการปิดล็อคไม่สามารถจะออกมาได้จนกระทั่งตอนเช้าจึงให้คนงานชาวลาวออกมาทำงานปกติ หากทำงานช้าก็จะถูกทำร้ายร่างกายและบังคับให้ทำงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายชัยเดชและนางยุพาว่า ร่วมกันค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์จากการบังคับ ใช้แรงงานรวมกันให้บุคคลต่างด้าวเข้าพักอาศัยซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุมจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการขยายผล ซึ่งมีนายชัยเดช โสนุชและนางยุพา โสนุช เป็นเจ้าของ และจะมี นายสมใจ  พากเพียร นายภมร อินทพรเดชและนายไมค์ ไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริงเป็นผู้จัดหาเหยื่อแรงงานชาวลาวให้กับฟาร์มหมูยุพา ทั้งหมดจะมีรายได้จากการส่งแรงงานคนละประมาณ 3,500 ถึง 5,000 บาท จังหวัดอำนาจเจริญ จะมี นายกี้ ไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริงเป็นนายหน้าและมีในคอมไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริงเป็นผู้ขับขี่รถยนต์มาส่งแรงงานชาวลาวให้กับฟาร์มหมูยุพามีรายได้จากการส่งแรงงานคนละประมาณ 3,500 บาทถึง 5,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องดังนี้ 
1.นายสมใจ  พากเพียร ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ จ 443/ 2558 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2558
2.นางอมร  อินทพรเดท ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ จ 444/ 2558 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2558 
3.นายไม้ไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริงตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ จ 447/2 558  ลงวันที่ 28 สิงหาคม2558
4. นายกี ไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริง ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ จ 446/2558 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2558 5
5.นายค่อม ไม่ทราบชื่อจริงนามสกุลจริงตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ จ 445/2558 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2558

                โดยทั้ง 5 คนแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์จากการบังคับใช้แรงงานร่วมกันให้บุคคลต่างด้าวเข้าพักอาศัยซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆเพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุมต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุม นายสมใจ  พากเพียร ผู้ต้องหาลำดับที่ 1 ข้างต้น ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ จ 443/2558  ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2558 สามารถควบคุมได้ที่จังหวัดอุบลราชธานี

สืบกระทุ่มแบน ทลายเครือข่ายล่อซื้อขยายผล ยาบ้า กว่า 2,000 เม็ด

วันที่ 28 สิงหาคม 2558 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ รอง ผบช.ภ.7  พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร  พ.ต.อ.บุญญฤทธิ์ รอดมา รอง ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร พ.ต.อ.วิเชียร  ประทุมรัตน์ ผกก.สภ.กระทุ่มแบน พ.ต.ท.ภาคิน แสนพุฒิ รองผกก.สสฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.วีรยุทธ โกสุม สว.สส.ฯ ร.ต.อ.วุฒิชัย ทวีกาญจนวัฒน์, ร.ต.ท.สุพล พวงทอง, ร.ต.ท.ประยงค์ สงค์ทอง,ร.ต.ท.สมนึก จันทรา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน2 สภ.กระทุ่มแบน ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาดังนี้
1.นายธาดา ภวังคนันท์ หรือ ออฟ  พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน  17  เม็ด
โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)  ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต"
2.นายขวัญชัย ม่วงบำรุง หรือ เหม่ง พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) จำนวน 50 เม็ด โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
 3.นายภาณุ พยุงกิจ หรือบาส พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ได้จากการการล่อซื้อ จำนวน 200 เม็ด ได้จากการตรวจค้น 2,200 เม็ด รวมยาบ้า 2,400 เม็ด โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต"

 รวมผู้ต้องหา 3 ราย 3 คน ของกลางยาบ้า 2,467 เม็ด  เหตุเกิดตำบลตลาด อ.กระทุ่มแบน 

สืบกระทุ่มแบนปิดล้อม จับใบกระท่อมเคหะสวนหลวง

วันนี้ 28 ส.ค. 2558 ระหว่างเวลา 17.00  -19.10 น.ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.วิเชียร ประทุมรัตน์ ผกก.สภ.กระทุ่มแบน,สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคิน แสนพุฒิ รองผกก.สสฯ พ.ต.ต.วีรยุทธ โกสุม สว.สส.ฯ ร.ต.อ.วุฒิชัย ทวีกาญจนวัฒน์ ร.ต.ท.สุพล พวงทอง,ร.ต.ท.ประยงค์ สงค์ทอง,ร.ต.ท.สมนึก จันทรา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา 23 ราย ดังนี้.-
1.นายรณกร จิบโคกหมาย  พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
2.นายไกรวิทย์   เขจรการ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
3.นายอรรถชัย   หาญกลับ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
4.นายวัชรินทร์  ป้องศรี พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
5.นายอับดุลฮาเลบ   ศรีท่าด่าน พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
6.นายกิตติพงษ์  ปองจันทร์ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
7.นายปฏิภาน  บัวนุ้ย พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
8.นายมนู เจาะแฮ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 50 ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
9.นายคอเลค ลาเต๊ะ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
10.นายกฤติธี   กิจเจริญชัยกุล พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
11.นายเจนวิทย์ นาพนัง พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
12.นายอานัติ สะดีน พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
13.นายยูกี ซาและ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
14.นายรุสลี ลาเต๊ะ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
15.นายเดชา  ผ่านคำ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
16.นายเบญจมินทร์  สิทธิวนิช พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
17.นายจิรายุ  คู่กระสังข์ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
18.นายไฟซาล  หะมะ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
19.นายโท สัญชาติเมียนม่า พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย,เป็นบุคคลต่างด้าว(สัญชาติเมียนม่า)หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
20.นายนัฐวุธ  เจ๊ะเซ๊ะ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
21.นายซาฮีแด หะมะ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 25ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
22.นายซาการียา  ฆอเลาะ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 50ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
23.นายดารุส บินแวมะยิ พร้อมของกลาง "ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม) จำนวน 50 ใบ โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พืชกระท่อม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
ผู้ต้องหาทั้ง 23 ราย จับกุมได้ที่ บริเวณหน้าตึก 10 การเคหะแห่งชาติ ถ.เพชรเกษม 91 ม.10 ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร

จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.-



วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตลาดนัดไทยช่วยไทย@ใต้ทางด่วนสีลมต่อไป

1. ผอ.อรรถพร   สิงหวิชัย (รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน)
2.ผอ.ทวีป   บุตรโพธิ์ (ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน)
3.ผอ.สมปอง  อาจณรงค์(ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน)
4.คุณอิสราภรณ์   ปทุมสินวงศ์ชัย (รองประธานเครือข่ายโอทอปจังหวัดสมุทรปราการ)
5.คุณสมบุญ   พ่วงไพโรจ(รองประธานเครือข่ายจังหวัดสมุทรปราการ)
6.คุณมะลิ   เกิดแสง (ประธานเครือข่ายสหกรณ์จังหวัดสมุทรปราการ)
7. คุณกวิน  สายวานิช(ผู้แทนพัฒนาการจังหวัดสมุทรปราการ)เปิดตลาดนัดไทยช่วยไทย@สีลม
          ระยะเวลาการจัดงาน     ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนกันยายน 2558
          สถานที่                        ตลาดไทยช่วยไทยใต้ทางด่วนสีลม ตรงแยกโรงพยาบาลเลิดสิน
          Hi light                        ชวนชิมอาหารเลิศรสจากกลุ่มเครือข่ายสมุทรปราการ สินค้า
                                             ประหยัด  สินค้าหัตถกรรม  สินค้าอุปโภค  บริโภค
          กรมการพัฒนาชุมชน  กระทรวงมหาดไทย  ปรับโฉมศูนย์แสดง จำหน่ายและกระจายสินค้า OTOP ใต้ทางด่วน ณ บริเวณพื้นที่ใต้ทางด่วนสีลมเป็น"ตลาดนัดไทยช่วยไทย" เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน รวมถึงเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนให้มีประโยชน์สูงสุด
         ท่านจะได้พบกับสินค้าของกลุ่มเครือข่ายสมุทรปราการ  ที่นำมาจัดจำหน่าย อาทิเช่น กุ้งเหยียด  ปลาสลิด  ปลาทูต้มเค็ม  สตอเบอร์รี่โยเกิร์ต  กลุ่มผ้าบาติกส์และกลุ่มสมุนไพร  โดยภายในงานมีกิจกรรมสอนอาชีพของศูนย์ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก  ที่จะมาสอนกิจกรรมกันฟรีๆภายในงานนาทีทอง ลดแลกแจกแถม ตลอดการจัดงาน
         ซึ่งแต่ละสัปดาห์จะมีสินค้าน้องอร่อยสลับเปลี่ยน  หมุนเวียนมาให้เลือกชิมกันอย่างจุใจเพื่อให้ประชาชนเลือกซื้ออาหารชวนชิมและอาหารฮาลาล เป็นการรวบรวมอาหารและเครื่องดื่มอร่อย ที่เป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียง 4 ภาค มาจำหน่าย เป็นอาหารที่มีคุณภาพได้มาตรฐานครบถ้วน และราคาย่อมเยา ภายในงานจะพบเจอกับสัญลักษณ์ความอร่อย นั่นก็คือ "น้องอร่อย" ซึ่งเป็นรูปแม่ครัวน่าตายิ้มแย้มเบิกบาน  ลักษณะแม่ครัวยกมือขวา ทำสัญลักษณ์โอเค มือซ้ายชู 5 นิ้ว สื่อความหมายถึง ภูมิปัญญาด้านอาหารของคนไทย ที่มีรสชาติอร่อย และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มที่มีสัญลักษณ์แสดงในร้าน แปลว่าร้านนี้ได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานOTOPชวนชิมของกรมพัฒนาชุมชน
          ฤกษ์งามยามดี เปิดตลาดในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ที่ตลาดนัดไทยช่วยไทยใต้ทางด่วนสีลม พลาดไม่ได้กับตลาดนัดไทยช่วยไทย สินค้าราคาประหยัด แถมมีคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมดีดีของกลุ่มเครือข่ายสมุทรปราการอีกด้วย ตั้งแต่เวลา11โมงเป็นต้นไป แล้วเจอกันที่ใต้ทางด่วนสีลมตรงแยกโรงพยาบาลเลิดสิน ใครที่อยู่แถวสีลมก็ไปเดินช็อปกันได้เปิดตลาดนัดไทยช่วยไทย@รามอินทรา
               ระยะเวลาการจัดงาน    ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนกันยายน 2558
               สถานที่                       ตลาดนัดไทยช่วยไทย ใต้ทางด่วนรามอินทรา ตรงข้ามซอยวัชรพล
               Hi light                      สินค้าราคาประหยัด   สินค้าหัตถกรรม  สินค้าอุปโภค   บริโภค  
                                                จากทั่วทุกภูมิภาค  ชวนชิมอาหารเลิศรส และเมนูอร่อยเพียง 20  
                                                บาท เลือกซื้ออาหารคลีน  เพื่อสุขภาพ  ผักปลอดสารพิษและผล
                                                ไม้จากชาวสวน
              รายละเอียด
              กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ปรับโฉมศูนย์แสดง จำหน่ายและกระจายสินค้า OTOP ใต้ทางด่วน ณ บริเวณใต้ทางด่วนรามอินทรา เป็น "ตลาดนัดไทยช่วยไทย" เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนรวมถึงเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนให้มีประโยชน์สูงสุด
            ท่านจะได้พบกับสินค้าราคาประหยัด จากโรงงาน ลดกระหน่ำ ราคาลดครึ่งต่อครึ่ง อาทิเช่นน้ำมันปาล์ม  น้ำตาลทรายขาว  ข้าวหอมมะลิ ข้าวเสาไห้  ไข่ไก่ราคาถูก ทั้งนี้สินค้าที่นำมาจัดจำหน่ายเป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิตประจำวันราคาถูก เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน เป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ที่ทางกรมพัฒนาชุมชนคัดสรรมาเพื่อให้ประชาชนได้เลือกซื้อ เลือกสรรสินค้าดีราคาถูก
            นอกจากนี้ยังมีสินค้าทางการเกษตร ผลไม้ตามฤดูกาล จากเกษตรกรโดยตรง อาทิ น้อยหน่ากลางดง, แก้วมังกรปากช่อง, กระท้อนปุยฝ้ายนครนายก, ทุเรียนระยอง, สละจันทบุรีฯลฯ สินค้าโอทอปทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ อาหารชวนชิมเลิศรส เลือกซื้ออาหารคลีนจากพุแค อาทิเช่น ผักส่งตรงจากแปลงผักปลอดสารพิษ, น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ, สลัดต้นอ่อนทานตะวัน, กะหรี่ปั๊บใหญ่ไส้เยอะ, มะเขือเทศราชินี, จิงจูฉ่าย, เบบี้แครอท, พร้อมด้วยน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ น้ำสำรองจันทบุรี, น้ำย่านางสกัดเย็น, น้ำตรีผลาตับจ๋าไขมันลาก่อนและเลือกซื้อสินค้าดีเด่นจากทั่วประเทศ ไข่มุกแท้อันดามัน   อัญมนีภาคตะวันออก  ไม้สักภาคเหนือ  ผ้าทอมือภาคอีสาน  หัตถกรรมวิจิตรภาคกลาง พร้อมชวนชิมสุดยอดอาหารอร่อยที่คัดสรรจากทั่วประเทศ และเมนูอร่อยเพียงแค่ 20 บาท 





ทหารปลอมโดนรวบ

เมื่อ  28 ส.ค. 2558 เวลาประมาณ  17.00น.  เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร พ.ต.ท.จักรพัฒน์ จันทร์เที่ยง สวป.ฯรรท.รองผกก.(ป.)ฯนำโดยพ.ต.ต.สุทธิพงษ์ อ่อนละออ สวป.ฯ ,พ.ต.ต.สุรศักดิ์ สิทธิโชคธรรม สวป.ฯ ,พ.ต.ต.อนุชา  จิตนิยม สวป.ฯ ร.ต.ท.พีระนันท์  แก้วสว่าง รอง สวป. ฯพร้อมสายตรวจ ชุดที่ 2 ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย
นายไพทูรย์ แจ้งชื่น อายุ 61 ปี ที่อยู่ 21 หมู่ที่ 8 ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
         โดยกล่าวหาว่า แต่งเครื่องแบบทหารที่ทหารยังคงใช้ในราชการอยู่โดยไม่มีสิทธิจะแต่งได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ของกลางชุดทหารเรือพร้อมเครื่องหมาย

เหตุเกิด  ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรสาคร ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร นำส่งพงส.สภ.เมืองดำเนินคดีต่อไป


สืบปส.มหาชัยรวบ 4 หม่องค้ายาบ้าพกปืนป้องกันตัว‏

ส่งสายออกหาข่าวหลังได้รับข้อมูลว่ามีชาวพม่าตั้งแก๊งทำเป็นขบวนการรับยาเสพติดมาจากพวกกระจายแบ่งสายส่งขายให้ผู้ใช้แรงงานชาติเดียวกัน  ฝังตัวเช่าห้องพักภายในชุมชนที่มีชาวพม่าอาศัยรวมกันจำนวนมาก  รายงานผู้บังคับบัญชาตามสายงานวางแผนล่อซื้อ  ถึงกับตลึง!พบยาบ้าและอาวุธปืนเถื่อนประดิษฐ์เองมี
ไว้ป้องกันตัวอ้างซื้อมา 1,500 บาทถูกรวบยกแก๊ง
          เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 ส.ค.58 พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบก. พ.ต.อ.สมเกียรติ  วัฒนพรมงคล รองผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร พ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผกก. พ.ต.ท.มาโนช จันทร์เที่ยง รองผกก.สส. พ.ต.ท.จักรพัฒน์ จันทร์เที่ยง สวป.พ.ต.ต.สุทธิพงษ์ อ่อนละออ สวป.พ.ต.ต.สุรศักดิ์ สิทธิโชคธรรม สวป./หน.ชุดและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส.
2 สภ.เมืองสมุทรสาคร ได้ร่วมกัน แถลงข่าวการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ในชุมชนไทยยูเนียน ซ.1-2 หมู่ที่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาครของกลางยาบ้ารวม 260 เม็ด ปืนไทยประดิษฐ์ 3 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนปืน จำนวนผู้ต้องหา 4 ราย
1.นายเม่งโซ อายุ 26 ปี ยาบ้า 20 เม็ด
2.นายโกอาว อายุ 26 ปี ตามหนังสือเดินทางเลขที่ KT433885 ชื่อ LWIN BO AUNG @NI KO AOW ยาบ้า 60 เม็ด อาวุธปืนไทยประดิษฐ์แบบมีด้ามจับ ขนาด 9 มม.(ปืนปากกา) 1กระบอก
 3.นายเวน อายุ 24 ปี ยาบ้า 80 เม็ด ปืนไทยประดิษฐ์ขนาด 9 มม. 1 กระบอก กระสุนปืน 13 นัด

4.นายเวนนาย อายุ 26 ปี ยาบ้า 100 เม็ด ปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .38  จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืน 6 นัด        โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาแก่ชาวพม่าทั้ง 4 คนว่ามียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับ
อนุญาต ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า ยาบ้าดังกล่าวเป็นของชาวพม่าลูกเรือประมงนำ มาส่งให้พวกตนก่อนแบ่งยาบ้าเพื่อนำมาขายให้กับผู้ใช้แรงงานชาวพม่ารายย่อยที่ทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนอาวุธปืนพวกตนได้ซื้อมาจากชาวพม่าด้วยกันราคากระบอกละ 1,500 บาท เพื่อมีไว้ป้องกันตัวคู่อริ นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังสืบทราบอีกว่าภายในชุมชนไทยยูเนียนแห่งนี้เป็นอาคารพาณิชย์หลายชั้นซอยเป็นห้องๆแบ่งเช่าเชื่อมต่อสลับซับซ้อนจึงค่อนข้างอยากต่อการจับกุม ก่อนคุมตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินคดีต่อไ




วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อ้างเป็นนักข่าว ขนยาบ้า

วันที่ 27 สิงหาคม 2558 เวลา16:30น.ได้เปิดแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ นำโดย นายกฤษดา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ร้อยเอ็ด พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนปราณีต ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด พล.ต.สถาภรณ์ ใบพลูทอง ผบ.จทบ.ร้อยเอ็ด นายพลากร บุญประคอง รอง.ผวจ.ร้อยเอ็ด พ.อ.กฤษดา นิยมวิทย์ รอง ผอ.กอ.รมน.(ท)จว.ร้อยเอ็ด พ.ต.อ.สิงห์ทอง พลลา รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด พ.ต.อ.วีระวัฒน์ สระบัว ผกก.สภ.เมืองร้อยเอ็ด พ.ต.อ.ประวิทย์ โทหา หน.ชปส.ภ.จว.ร้อยเอ็ด โดยจับผู้ต้องหา 2 ราย ยาบ้า 1,965 เม็ด ยึดทรัพย์ตาม พรบ.มาตราการฯ พ.ศ.2534 เงินสด จำนวน 428,000 บาท รถยนต์ จำนวน 1 คัน ราคา 400,000 บาท ผู้ต้องหาที่1. นายคณิศร หรือโอ เจริญสุข อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 605/134 ม.2 ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาที่2. น.ส.ทัศนียา หรือหมวย โพธิ์ศรี อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่  53 ม.10 ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ของกลาง ยาบ้า 1,965 เม็ด โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เหตุเกิดที่ บริเวณจุดป้ายบอกเขต อ.จังหาร ริมถนนสายจังหาร-ร้อยเอ็ด เขตบ้านเกล็ดลิ่น ม.4 ต.หนองแวง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ตามยุทธการ "กวาดล้างยาเสพติด ปิดเมืองค้นรังโจร" และมีอีกมุมหนึ่งรถของกลาง มีสติ้กเกอร์หนังสือพิมพ์ชื่อดัง ติดที่ท้ายรถ
**ท่านอธิบดีกล่าวถึงเจ้าหน้าที่ทุกนายทุกจังหวัดให้ดูรถยนต์ที่ติดว่า "ข่าว" ให้ตรวจด้วยรู้สึกว่า เยอะมาก**
***ทิ้งท้ายท่านผู้ว่าราชการ ฝากมาถึงประชาชนที่รู้เบาะแสยาเสพติดหรือพบเห็นมีพิรุจให้แจ้งท่านผ่านศูนย์ดำรงธรรม หรือ ตู้ ปณ.1 ภ.จว.ร้อยเอ็ด ถ.สุริยะเดชบำรุง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด 45000 หรือ ศอ.ปส.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ถ.สุริยะเดชบำรุง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด 45000 หรือโทร.โดยตรงกับท่าน พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนปราณีต 081-6217555 ตลอด 24 ชั่วโมง***
รายงานข่าวโดย เดช นาคราช/ร้อยเอ็ด


กระทรวงมหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs จับมือภาครัฐ – เอกชน สร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายในพื้นที่อย่างยั่งยืน

วันนี้ (27 ส.ค. 58)  เวลา  09.00 น. ณ โรงแรมเอสดี อเวนิว กรุงเทพมหานคร นายจรินทร์ จักกะพาก  รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงาน โครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs และพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งกระทรวงมหาดไทย จัดขึ้น เพื่อพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม SMEs ใน 18 กลุ่มจังหวัดให้เกิดการบูรณาการร่วมกันเพื่อสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่ให้มีความเข้มแข็ง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมฯ จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 156 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยและผู้บริหารของสสว. หัวหน้าสำนักงานบริหารยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ผู้ประสานงานโครงการและภาคเอกชน ได้แก่ หอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัดจาก 18 กลุ่มจังหวัด
          นายจรินทร์ จักกะพาก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ โดยได้กำหนดเป็นเรื่องเร่งด่วนและได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวร่วมกับ สสว. ในการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs และพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยดำเนินการผ่านคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs กลุ่มจังหวัด ทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้ากลุ่มจังหวัด เป็นประธานคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการฯ ดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นกลไกสร้างเครือข่ายในระดับพื้นที่
          สำหรับการประชุมหารือร่วมกันในครั้งนี้ ได้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานเป็น 4 กิจกรรมหลัก คือ     1. การกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนโครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs โดยวิทยากรที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญมาร่วมสนับสนุน2. กิจกรรมการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ต่อการดำเนินโครงการ 3. การระดมความคิดเห็นและรับทราบความต้องการที่แท้จริงของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอโครงการที่จะดำเนินการในปีต่อไป และ 4. การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อหารือแนวทางในการจัดทำรายงานในภาพรวมของโครงการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาครัฐและเอกชนในพื้นที่แต่ละกลุ่มจังหวัดให้มีความรู้        ความเข้าใจสามารถนำแนวทางการขับเคลื่อนโครงการไปสู่การปฏิบัติได้ในทิศทางเดียวกัน



จังหวัดนครปฐมจัดงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และทอดผ้าป่ามหากุศลสมทบกองทุนแม่ของแผ่นดิน

วันที่ 27 สิงหาคม 2558 ที่บริเวณศาลากองอำนวยการองค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานนำข้าราชการ ผู้นำชุมชน และประชาชนจากอำเภอต่างๆ ในจังหวัดนครปฐม ทั้ง 7 อำเภอ ร่วมพิธีถวายราชสักการะ เปิดกรวยดอกไม้ ถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ และถวายพระพรชัยมงคล หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสที่การดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ครบรอบ 12 ปี โดยนายกิจจา กาญจนะวีระ พัฒนาการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เป็นโครงการในพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดตั้งกองทุนแม่ของแผ่นดิน เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยพลังของประชาชน โดยใช้กระบวนการชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ประกอบด้วย พิธีรับเงินขวัญถุงพระราชทานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ปี 2557-2558 กิจกรรมทอดผ้าป่ามหากุศลสมทบกองทุนแม่ของแผ่นดิน จำนวน 182 กองทุน รวมยอดบริจาคได้ถึง 1,004,581 บาท อีกทั้งมอบเกียรติบัตรแก่กองทุนแม่ของแผ่นดินดีเด่น ศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดินดีเด่น หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่ได้สนับสนุนให้สมาชิกลด ละ เลิกยาเสพติด และสมาชิกกองทุนแม่ของแผ่นดินที่เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด นอกจากนี้มีการเดินรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด การจัดนิทรรศการทองทุนแม่ของแผ่นดิน และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กองทุนแม่ของแผ่นดิน และสินค้า OTOP อีกด้วย







ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานร่วมในการประชุมคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสร่วมไทย – กัมพูชา จัดขึ้นภายใต้การประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 5

วันนี้ (27ส.ค.58) เวลา 15.00 น. ณ ห้อง Pimarnman ชั้น 2 โรงแรมอนันตรา สยาม ถนนราชดำริ กรุงเทพมหานคร    นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายไทย และนายสัก เสทา ปลัดกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ในฐานะหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วมในการประชุม     คณะเจ้าหน้าที่อาวุโสร่วมไทย กัมพูชา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ การประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย กัมพูชา    ครั้งที่ 5” โดยมีฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 26 – 28 สิงหาคม 2558 ณ กรุงเทพมหานคร
          สาระสำคัญของการประชุมฯ ในวันนี้ ที่ประชุมได้รับฟังรายงานผลการประชุมคณะเจ้าหน้าที่เลขานุการร่วมไทย กัมพูชาที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทยของฝ่ายไทยและกัมพูชา ในฐานะเลขานุการของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นประธานในการหารือร่วมกัน นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นต่างๆ ที่จะมีการหารือในเวทีการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 5 ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (28 ส.ค.) เวลา 09.30 น. โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และสมเด็จกลาโหมซอร์ เค็ง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานร่วม
สำหรับประเด็นสำคัญที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะมีการหารือในเวทีการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 5 มีหลายหัวข้อสำคัญ อาทิเช่น การดำเนินการเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องการข้ามแดนระหว่างประเทศ      ทั้งสอง ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนบริเวณชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การคมนาคมขนส่ง การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของประชาชนบริเวณชายแดน ความร่วมมือด้านแรงงาน การบริหารจัดการจุดผ่านแดน     การสาธารณสุขและการพัฒนาชุมชน ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ และความร่วมมือผ่านกลไกในระดับจังหวัดและท้องถิ่น เป็นต้น




วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รมว.ยธ. มอบนโยบายและบูรณาการงานป้องกัน 4 กระทรวงหลัก หวังลดปริมาณแรงงานยาเสพติด

วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2558 เวลา 13.30 น. สำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรม จัดการประชุมบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันในโครงการ/กิจกรรมสำคัญด้านการป้องกันยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษาและกลุ่มแรงงาน โดยมี พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน 4 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงยุติธรรม เพื่อนำมากำหนดแนวทางบูรณาการปฏิบัติในกลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษาและกลุ่มแรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ครอบคลุมและทั่วถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ อาคาร 2 ชั้น 3 สำนักงาน ป.ป.ส.
                จากข้อมูลผู้เข้ารับการบำบัดรักษาตั้งแต่ปี 2551-2556 พบว่า ช่วงอายุ 15-19 ปี เป็นกลุ่มที่เข้ารับการบำบัดรักษาสูงที่สุด ซึ่งช่วงวัยดังกล่าวถือเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยเฉพาะเยาวชนนอกสถานศึกษาที่มีโอกาสเสี่ยงต่อยาเสพติดมากกว่าเยาวชนในสถานศึกษา ถึง 5 เท่า และข้อมูลจากระบบสารสนเทศ   ยาเสพติดจังหวัด (NISPA : Narcotics Information System For Province Agency) พบว่า พฤติกรรมเสี่ยงที่เยาวชนมีมากที่สุด คือ การมั่วสุมในร้านเกมส์ ที่สาธารณะ และกลุ่มซึ่งรถ ส่วนประชากรที่ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงรองลงมา คือ กลุ่มช่วงอายุ 21-25 ปี ซึ่งเป็นวัยแรงงานตอนต้น เป็นกำลังการผลิตของเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นวัยเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ ประกอบกับสภาวะปัญหา ค่านิยม คุณค่าทางสังคม วัฒนธรรมที่เบี่ยงเบน เทคโนโลยีการสื่อสาร สื่อสังคมออนไลน์ สภาวการณ์ทางการศึกษาที่ยังไม่ดีเพียงพอที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการพัฒนาทักษะชีวิต การเรียนรู้และการรู้เท่าทันต่อปัญหาต่างๆ  ที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นเงื่อนไขผลักดันให้เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ตกเป็นกลุ่มเสี่ยงและเข้าสู่วงจรปัญหายาเสพติด
ดังนั้น รัฐบาล โดยพลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ จึงเล็งเห็นว่าที่ผ่านมาแม้จะได้มีการดำเนินการเพื่อควบคุมและลดปริมาณยาเสพติดด้วยมาตรการด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดำเนินมาตรการบำบัดฟื้นฟูเพื่อควบคุมและลดปริมาณผู้เสพผู้ติดยาเสพติดแล้วก็ตาม แต่ปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดจะยังคงอยู่ เนื่องจากยังไม่ได้มีการควบคุมปัญหาอย่างครบวงจร โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการป้องกันยาเสพติดเพื่อลดความต้องการยาเสพติดของประชากรกลุ่มที่มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงจำเป็นต้องดำเนินการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ เยาวชนที่อยู่นอกสถานศึกษา ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3.5 ล้านคน และลูกจ้างแรงงานในสถานประกอบการ ทั้งขนาดเล็ก กลาง และขนาดใหญ่ รวมประมาณ 8 ล้านคนทั่วประเทศ    ซึ่งหากประชากรกลุ่มนี้ภูมิคุ้มกันยาเสพติด ย่อมส่งผลต่อคุณภาพของประชากรวัยแรงงานและวัยสร้างครอบครัวใหม่อันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงสังคมโดยรวม ทั้ง 2 กลุ่ม จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข


ดังนั้นการประชุมในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เพื่อให้เกิดกลไกและกระบวนการทำงานรณรงค์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สังคมเกิดกระแสตระหนักในปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และเกิดความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดมากขึ้น รวมทั้งเพื่อสร้างช่องทางและกิจกรรมที่กลุ่มเป้าหมายจะเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันยาเสพติดในหมู่บ้านชุมชนและสถานประกอบการของตนเองได้ โดยเน้นว่าการขับเคลื่อนงานในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว จะบรรลุความสำเร็จได้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการการปฏิบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นความสำคัญร่วมกันในการดำเนินงานสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดอย่างจริงจังและครอบคลุม โดยใช้แนวคิดหลักในการเพิ่มศักยภาพกลไกเชิงพื้นที่ที่มีอยู่เดิม ให้สามารถปฏิบัติภารกิจในกลุ่มเป้าหมายได้ โดยหลีกเลี่ยงการสร้างกลไกใหม่โดยไม่จำเป็น และเชื่อมโยงกระบวนการทำงานเดิมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความประสานสอดคล้องมีความชัดเจนและ        มีเอกภาพในการทำงานมากขึ้น โดยมีโครงการสำคัญ 3 โครงการหลัก ได้แก่
1) โครงการพัฒนาและส่งเสริมศูนย์เยาวชนในระดับพื้นที่ โดยกระทรวงมหาดไทยและสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกันฟื้นฟูเยาวชนในระดับพื้นที่ เพื่อเป็นกลไกพัฒนาเยาวชน และเพิ่มศักยภาพกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน-ประธานชุมชน และเจ้าหน้าที่ด้านสวัสดิการสังคมและพัฒนาชุมชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ ได้แก่ อบจ. เทศบาล อบต. เมืองพัทยา และกทม. เพื่อให้สามารถเป็นบุคลากรสำคัญในการจัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชนเพื่อป้องกัน         ยาเสพติดแก่เยาวชนนอกสถานศึกษาในหมู่บ้านชุมชน 81,919 แห่ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,853 แห่งทั่วประเทศ
2) โครงการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในกลุ่มแรงงาน โดยกระทรวงแรงงาน และ         สำนักงาน ป.ป.ส. เพิ่มศักยภาพอาสาสมัครแรงงาน เพื่อเป็นบุคลากรสำคัญ ในการเผยแพร่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันฯ และสำรวจข้อมูลแรงงานทั้งนอกระบบฯ และในสถานประกอบการร่วมกับกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน และพัฒนาชมรมเครือข่ายผู้ประกอบการในสถานประกอบการ ซึ่งปัจจุบันแรงงานนอกระบบสถานประกอบการ อาทิ แรงงานภาคเกษตรกรรมรับจ้างอิสระ,ค้าขาย,กิจการอิสระฯ รวมประมาณ 28 ล้านคน และแรงงานในสถานประกอบการรวมประมาณ 8 ล้านคน
3) โครงการส่งเสริมการจัดทำมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ รวม 351,961 แห่งที่ตั้งอยู่ทุกจังหวัด โดยกระทรวงแรงงาน และสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกันระดมความร่วมมือจากผู้ประกอบการขนาดลูกจ้าง 10 คน ขึ้นไป ให้มีการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการ และเชื่อมความร่วมมือกันระหว่างสถานประกอบการในลักษณะเครือข่ายเพื่อให้ถ่ายทอดองค์ความรู้