pearleus

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ตร.กระทุ่มแบน เช็คบิลเครือข่ายยาเสพติด สวนหลวง..


เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน -ปราบปราม ภายใต้การควบคุมของ พ.ต.ท.สุกิฤษฏิ์ วิศิษฐ์ชนะชัย รอง ผกก.สส.  ร่วมกันจับกุมนาย Soe  (เย)  Nyerw อายุ 28 ปี สัญชาติพม่าโดยกล่าวหาว่า
1.เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต
2.มียาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้า)และ(ไอซ์)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยผิดกฏหมาย นำตัวพร้อมด้วยของกลาง ยาบ้าจำนวน 48 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 0.42 กรัม ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ได้จับกุมขยายผลทลายเครือข่ายผู้ค้า ผู้เสพ รายย่อยในพื้นที่ ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ได้อีก 3 ราย 1.นายกฤษณะ หรือคิง เทพราช อายุ 19 ปี ของกลาง ยาบ้า 19 เม็ด ภายในโต๊ะสนุ๊ก หมู่ที่ 1 -2. นายธนพล หรือดุ๊ก ดวงสว่าง อายุ 29 ปี ยาบ้า 19 เม็ด และ 3. นายประเทือง หรือหนุ่ม แตงศรีนวล อายุ 42 ปี ยาไอซ์ 1.36 กรัม ภายในโต๊ะสนุํก หมู่ที่ 2 แจ้งข้อกล่าวหาว่ามียาเสพติดประเภทที่ 1 ( ยาบ้าและยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน ดำเนินคดี.







N Health โชว์นวัตกรรม HAPYBOT หุ่นยนต์บริการทำงานในรพ.ครั้งแรกในงาน“เฮลท์แคร์ เรียนรู้ สู้โรค 2019”

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS) ร่วมสนับสนุนงาน “Healthcare เรียนรู้ สู้โรค 2019” งานแฟร์สุขภาพ “เฮลท์แคร์ 2019” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นงานที่รวมพันธมิตรสุขภาพจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน มุ่งหวังให้ประชาชนได้หันมาใส่ใจสุขภาพและรู้เท่าทันโรคในมิติต่างๆ อย่างครบวงจร  เมื่อวันที่ 27-30 มิถุนายน 2562 ณ Hall5 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

โดยบริษัทในเครือ BDMS ได้นำกลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาล ได้แก่ บ. เอ.เอ็น.บี.ลาบอราตอรี่ (อำนวยเภสัช) (ANB), บ. สหแพทย์เภสัช (Medipharma), บ. เซฟดรัก เซ็นเตอร์ (Save Drug) และ บ. เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ (N Health) ร่วมออกร้าน โดยได้นำสินค้าด้านสุขภาพของบ.ในเครือมาจัดจำหน่ายและให้คำปรึกษาการใช้ยา พร้อมนำนวัตกรรม HAPYBOT หุ่นยนต์บริการขนส่งสำหรับโรงพยาบาล มาร่วมโชว์ภายในงาน

 นายวิฑูรย์ อุทัยกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางไกล N Health ตัวแทนจำหน่าย HAPYBOT หุ่นยนต์บริการขนส่งสำหรับโรงพยาบาล กล่าวว่า จุดเด่นของ HAPYBOT คือ การนำระบบขนส่งอัตโนมัติ Automatic Guided Vehicles (AGV's) มาช่วยทำงานซ้ำๆ ภายในโรงพยาบาล ซึ่งสิ่งที่ HAPYBOT มีความแตกต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไป คือ สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่มีลักษณะพิเศษได้  สามารถเลือกเส้นทางเดินที่ดีที่สุด หรือหาเส้นทางสำรองอัตโนมัติ  รวมไปถึงการติดตามงานที่มีสถานการณ์แตกต่างกันไป เพื่อช่วยขนส่งวัสดุ เอกสารสิ่งของจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้จากการทดลองภายในรพ.กรุงเทพ ซ. ศูนย์วิจัย พบว่า มีอัตราการเกิดอุบัติเหตระหว่างปฏิบัติหน้าที่คิดเป็นอัตราส่วน 0% ขณะที่รูปร่างหน้าตาของตัวหุ่นยนต์เป็นมิตร มีเซ็นเซอร์มากมายรอบตัว เพื่อวัดระยะทางแบบทันที ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ภายในตัว จึงทำให้มีหน่วยการประมวลผลความเร็วสูง  สามารถทำงานได้ตลอดเวลา  มีความโดดเด่นในด้านของความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่สามารถสั่งงานได้สะดวก ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน โดยจะเริ่มใช้งานจริงภายในปีนี้ คาดว่าจะมีประมาณ 10 ตัว ในเครือรพ.กรุงเทพ  

พร้อมระบุว่า ปัจจุบันจากการขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ในแต่ละวันที่มีมากกว่า 1,000  รายการ ประกอบด้วย ตัวอย่างทางพยาธิวิทยา เลือด เนื้อเยื้อ ของเหลวที่ต้องส่งตรวจ  ยา และเอกสาร  ที่ต้องขนส่งโดยบุคลากรที่มีความรู้และมีประสบการณ์  ทำให้การขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าวต้องใช้บุคลากรจำนวนมาก  ขณะเดียวกันต้องรับความเสี่ยงจากการสัมผัสหรือติดเชื้อ  ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว HAPYBOT จึงตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจโรงพยาบาลที่ต้องการลดความสิ้นเปลืองในด้านของบุคลากร และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อขณะกำลังปฏิบัติงาน 

สำหรับ HAPYBOT เกิดจากการวิศกรไทยร่วมกับโรงงานผลิตหุ่นยนต์ประเทศจีน โดยใช้โครงสร้างหุ่นยนต์จากจีนและเกาหลี  และสร้างส่วนสมองการทำงานหลายชุดเข้าด้วยกัน โดยโปรแกรมเมอร์คนไทย พร้อมระบบเรียกลิฟต์ โดยสารลิฟต์ เปิดประตู  โดยใช้งานง่าย สามารถสั่งผ่านหน้าจอด้าบนเครื่อง หรือสั่งผ่าน Tablet มือถือ หรือเชื่อมการทำงานผ่าน API กับระบบอื่นๆ มีประตูเลื่อนไฟฟ้าและระบบล็อคช่องเก็บของ โดยประตูจะเปิดต้นทางและปลายทางเมื่อถึงจุดหมาย ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆอีกด้วยเช่ย เดินนำไปสู่ปลายทาง หรือเป็นไกด์ ซึ่งจะเดินหลายจุดต่อเนื่องพร้อมทั้งอธิบายระหว่างเดินหรือหยุดพูด ณ จุดที่กำหนดไว้ เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานจะกลับมายังจุดชาร์พลังงานอัตโนมัติ 

นอกจากนี้ HAPYBOT ยังใช้แผนที่ที่สร้างขึ้นด้วยตัวเองมากำหนดแผนการเดินทางอัตโนมัติทันทีเมื่อรับคำสั่งให้ปฏิบัติงาน โดยใช้เซ็นเซอร์หลายชุดมากในการวิเคราะห์หลบหลีกอุปสรรค์และสิ่งกีดขวาง มีเทคโนโลยีการสื่อสารกับส่วนควบคุมลิฟต์ของอาคาร เพื่อสามารถเรียกลิฟต์ กดชั้น รับรู้สถานะ และข้อมูลของลิฟต์แบบเป็นปัจจุบัน





วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562

NIDA Business School จับมือพันธมิตร SIAM ICO เปิดหลักสูตร “Blockchain for Enterprise Transformation” มุ่งเป้าพัฒนาเส้นทาง Digital Transformation แก่บุคลากรภาครัฐ/เอกชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562  รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)  นายปฐม อินทโรดม กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สยาม ไอซีโอ จำกัดนายคณิต ศาตะมาน ซีอีโอ ไนท์ อะคาเดเมีย นายปกรณ์ ลี้สกุล ซีอีโอฟินีมา ร่วมแถลงความร่วมมือ  กำหนดเปิดหลักสูตรพิเศษ Blockchain for Enterprise Transformation เพื่อให้ความรู้และพัฒนาผู้บริหารขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความตั้งใจ หรือสนใจที่จะพัฒนากลยุทธ์ด้านดิจิทัลให้กับองค์กร โดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นกลไกสำคัญ  โดยรับเกียรติจาก รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)  เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน  ณ อาคารบุญชนะ อัตถากร คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)






ทั้งนี้หลักสูตรดังกล่าว  เป็นหนึ่งในเป้าหมายและความตั้งใจของ รศ.ดร.ธัชวรรณ  ซึ่งเพิ่งก้าวเข้ามารับตำแหน่งคณบดี ของคณะบริหารธุรกิจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของผู้นำของคณะฯ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง disruption  และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน AI, Blockchain ตลอดจน Fintech ที่คนไทยยังต้องการการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างมาก

“โดยส่วนตัวคือต้องการพัฒนาหลักสูตรเหล่านี้อยู่แล้ว เมื่อได้คุยกับทาง SIAM ICO ซึ่งมีเป้าหมายที่ไปในแนวทางเดียวกัน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือ เพราะเรื่อง Blockchain มันเป็นภาพใหญ่ หลายคนรู้จัก Bitcoin  รู้จักคริปโตเคอเรนซี่ แต่ข้อเท็จจริงๆ แล้วบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่สามารถประยุกต์มาทำอะไรได้มากกับองค์กรหรือสถาบัน ไม่ใช่เพียงออก Coin หรือ Currency เท่านั้น แต่บล็อกเชนทำอะไรได้มากกว่านั้น  แม้กระทั่งตอนนี้ เราได้พูดกันถึง Digital certificate หรือใบประกาศดิจิตอล ในบล็อกเชนที่ไม่สามารถปลอมได้ พูดถึงเงินที่ไม่สามารถปลอมได้ ซึ่งมันดีนะ และเชื่อว่าบล็อกเชนจะนำพาเราไปสู่สิ่งอื่นๆ อีกหลายๆเรื่องได้ อาทิ Supply Chain หรือ ระบบการจัดเก็บประวัติการรักษาพยาบาล หรือ เก็บข้อมูล Tourism ซึ่งต่อไปใช้การใช้จะกว้างออกไปอย่างมาก” รศ.ดร.ธัชวรรณ กล่าวและย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเรื่อง บล็อกเชน เป็นหลักสูตรว่า ยังสามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัลได้ อย่างที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้คือเรื่อง Digital Transformation ซึ่งน่าสนใจมาก

ดังนั้นหลักสูตรนี้ถือได้ว่าเป็นที่แรก จะเปิดเป็นสาธารณะโดยให้บุคคลภายนอกเข้ามารับการอบรม หลังจากนั้นก็จะหลอมรวมวิชานี้เข้าไปอยู่ในหลักสูตร MBA ของทางนิด้าในเวลาต่อไป ซึ่งเชื่อว่านักศึกษาจะให้ความสนใจและได้รับประโยชน์จากคอร์สนี้อย่างมาก

คณบดีหญิงคนแรกของ NIDA Business School  ยังเชิญชวนให้ศิษย์เก่า ตลอดผู้บริหารองค์กรของทั้งภาครัฐและเอกชนมาลงเรียน  ได้ออกแบบให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับผู้เรียนที่ต้องการความกระชับในเรื่องเวลา เพียง 3 วันใน 3 สัปดาห์ของเดือนสิงหาคม  โดยที่วันสุดท้ายของหลักสูตรจะจัดให้มีเวิร์กชอป ได้นำหลักของ Design Thinking เข้ามาผสมผสานในการจัดอบรมเพื่อให้ผู้เรียนได้ประโยชน์ควบคู่ทั้งในเรื่องบล็อกเชนและ Design Thinking ไปพร้อมๆกัน

ทางด้านปฐม  อินทโรดม กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท SIAM ICO  จำกัด กล่าวถึงความเป็มาของหลักสูตร Blockchain for Enterprise Transformation ว่า เกิดจากคำถามที่ทั้งสยามไอซีโอและนิด้าได้รับอยู่เสมอในช่วงปีที่ผ่านมาคือ เรื่องบล็อกเชน และ Digital Transformation  และเมื่อได้มีโอกาสได้หารือถึงเป้าหมายและความเป็นไปได้ในเรื่องความร่วมมือเพื่อพัฒนาเป็นหลักสูตรนี้เกิดขึ้นมา โดยผูกเอา 2 เรื่องไว้ด้วยกัน 

“ถ้าคุณสนใจเรื่องบล็อกเชน คุณจะได้เรื่องDigital Transformation เป็นของแถม และคุณอาจจะพบว่าจะปรับเปลี่ยนองค์กรเป็นดิจิทัลไม่ต้องใช้บล็อกเชนก็ได้ มีแนวทางมากมาย หรืออาจจะใช่คุณก็ลุยต่อได้เต็มที่ ก็จะมีหลักสูตรอื่นๆ เพิ่มเติมที่จะตามมาในอนาคตเจาะลึกเรื่องเหล่านี้ลงไป หรือถ้าคุณสนใจเรื่องDigital Transformation นอกจากจะได้รู้กระบวนการ  ยังมีเวิร์กช้อป ที่เราจะสอนเรื่องการปรับเปลี่ยนองค์กรว่าต้องรู้จักแกนหลักขององค์กร องค์ประกอบภายนอกมีอะไรบ้าง มีกรณีศึกษาจากกรณีทั้งไทยและต่างประเทศอะไรที่นำมาใช้ได้ และได้เรื่องบล็อกเชนเสริมเข้าไปด้วย ซึ่งบล็อกเชนคุณอาจ
จะรู้เพื่อไปปรับกระบวนการทำงานหรือไปใช้ในเรื่องการระดมทุนจะทำ STO ICO  ต่อไปในอนาคตได้”

นายปฐม ระบุด้วยว่า  หลักสูตรนี้เหมาะกับผู้บริหารองค์กรภาครัฐและเอกชนตั้งแต่ขนาดกลางขึ้นไปที่มีความตั้งใจจะพัฒนากลยุทธ์ด้านดิจิทัลให้กับองค์กรโดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นหัวใจสำคัญ และที่รับทราบเรื่องบล็อกเชนและ Digital Transformation มาระยะหนึ่งแล้ว อยากรู้ว่าจะนำไปปรับใช้กับองค์กรของตนเองได้อย่างไร โดยเป็นหลักสูตรที่เน้นในการถ่ายทอดความรู้ และการนำไปประยุกต์ใช้ในโลกความเป็นจริงอย่างเต็มที่

“สิ่งที่ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับกลับไปคือ “Digital Transformation คือเราพูดถึงภาพรวมของเทคโนโลยีทั้งหมด เจาะลึกเทรนด์ที่จะมีผลกระทบในอนาคต สยามไอซีโอเราเชี่ยวชาญเรื่องไฮบริด  เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ตอนเวิร์กช้อป คุณรู้หรือไม่ว่าIOTมารวมกับบล็อกเชนได้ รถขนส่งสามารถเอาเซนเซอร์ใส่เข้าไปวัดอุณหภูมิ มีจีพีเอสวัดว่าอยู่ที่จุดไหนแล้ว บวกกับSmart Contact ของบล็อกเชนทำให้ลูกค้าของคุณจ่ายเงินได้ทันทีเมื่อรู้ว่าคุณขนอาหารไปส่งถึงเป้าหมายโดยที่อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงจากที่กำหนดไว้ เป็นการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน”การนำเทคโนโลยีหลายอย่างมาประสานกันจนเกิดโซลูชันเป็นเป้าหมายเบื้องต้นที่คุณปฐมคาดหวังให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับกลับไป และหากสามารถมองไปไกลได้ถึงการคิดแพลตฟอร์มดิจิทัลออกมาใช้ได้จริง ก็จะเป็นเป้าหมายสูงสุดที่หลักสูตรนี้ต้องการ

สำหรับผู้สนใจ ค่าลงทะเบียนปกติคนละ 28,000 บาท *พิเศษ : สมัครภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 หรือ กรณีเป็นศิษย์เก่านิด้าลดเหลือคนละ 25,000 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมศูนย์เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน คณะบริหารธุรกิจ 02-7273973, 098-346-3513
Line nidacecอีเมล์  chanida.c@nida.ac.th



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562

รมช.พาณิชย์ ตรวจเยี่ยมตลาดทะเลไทย



 
 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2562 เวลา 05.00 น. นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายคณิศร์ นาคสังข์ ผู้อำนวยการกองควบคุมการค้าสัตว์น้ำและปัจจัยการผลิต กรมประมง นายประโยชน์ เพ็ญสุด รองอธิบดีกรมการค้าภายใน และคณะ ได้เดินทางมาที่ตลาดทะเลไทย ตำบลท่าจีน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อติดตามสถานการณ์สินค้าประมงที่มีข่าวว่ามีการลักลอบนำเข้าสินค้าประมงที่ไม่ถูกกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน เกิดส่วนแบ่งทางการตลาด ส่งผลให้ราคาสินค้าประมงภายในประเทศตกต่ำ สร้างความเดือนร้อนให้กับพี่น้องชาวประมง พร้อมย้ำมีการคุมเข้มการนำเข้าส่งออกสินค้าประมงจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีนายสมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายกำจร มงคลตรีลักษณ์ นายกสมาคมการประมงสมุทรสาคร นางอำไพ หาญไกรวิไลย์ ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร นายปรีชา ศิริแสงอารำพี ประธานบริหารตลาดทะเลไทย หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนชมรมผู้ขายปลาจังหวัดสมุทรสาคร และผู้ประกอบการเรือประมง แพกุ้ง แพปลา ร่วมให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชมการค้าขายสินค้าประมงชนิดต่างๆ ที่จำหน่ายแบบค้าส่งภายในตลาดทะเลไทย
เมื่อเยี่ยมชมเสร็จแล้วก็ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดจนรับฟังข้อสงสัยที่เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าประมงจากประเทศเพื่อนบ้านจากตัวแทนชาวประมงและผู้ประกอบการแพปลาต่างๆ ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น อาทิเช่น มาตรฐานต่างๆ การตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง ชนิดสินค้าประมง การควบคุมปริมาณ ราคาและการตรวจสารปนเปื้อนสินค้าประมงจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลถึงการตลาดและราคาในการจำหน่ายสินค้าประมงภายในประเทศ..//
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพ จากสำนักงานประชาสัมพันธ์จ.สมุทรสาคร








“แอนิเทค” เปิดตัวปลั๊ก anitechIOT ที่แรกในประเทศไทย เจาะกลุ่มคนรักบ้านอัจฉริยะ ชูนวัตกรรมสุดล้ำ ควบคุมการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน


บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย อุปกรณ์ประเภท คอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ภายใต้แบรนด์ “แอนิเทค” (anitech) จัดงาน “anitechInnovation turns on your life” IOT PlatformwithData Analyticsเปิดตัวปลั๊ก anitech IOT ตอบโจทย์ความสะดวกสบายและการันตีความปลอดภัยผ่าน "มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม" (มอก.) พร้อมสาธิตการใช้งานเป็นครั้งแรกด้วยการควบคุมการสั่งงานผ่านanitechIOT Applicationรองรับระบบปฏิบัติการทั้งIOS และ Android เจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับบีบวกอัพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมปลั๊กไฟไทย

นายพิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ ประเภทคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ ภายใต้แบรนด์ “แอนิเทค” (anitech) เปิดเผยว่า แนวความคิดเริ่มต้นของการออกแบบปลั๊ก anitechIOT  เกิดจากการนึกถึง Sunlight  แสงอาทิตย์แรกยามเช้านั่นคือแสงแห่งชีวิตได้ตื่นขึ้นมาพบกับแสงวันใหม่พร้อมเติมเต็มพลังให้กับทุกๆชีวิตแอนิเทคจึงเลือกที่จะนำเสนอนวัตกรรมที่ทรงพลังด้วยการผสานเอกลักษณ์ในเชิงวัฒนธรรมกับความร่วมสมัย สะท้อนความเป็นมืออาชีพ และมาตรฐานสากลเข้าด้วยกัน ภายใต้แนวความคิด “นวัตกรรมด้านการดีไซน์ผสานความเป็นไทย เพื่อคนไทย” จึงออกมาเป็นตัวปลั๊กล้ำสมัยอย่างanitech IOTเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความสุขคู่บ้านคุณอย่างแท้จริง  



อีกทั้งในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าเป็นยุคของ IOT (Internet of Things) อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบันด้วยการใช้เพียงอุปกรณ์เดียวก็สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้หลากหลาย แอนิเทค จึงได้พัฒนาระบบการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันที่มีรูปแบบเรียบง่าย แต่มอบประสบการณ์ความสะดวกสบายสูงสุด เพื่อการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดขึ้นภายในบ้านอัจฉริยะโดยเทรนด์ของผู้บริโภคปัจจุบันการใช้งานแบบ IOT จะมีอยู่ 2 ปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการซื้อมากที่สุดร้อยละ 75 ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความสะดวกสบายที่ได้รับจากการใช้งาน ร้อยละ 68 เป็นการพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการใช้งานที่คุ้มค่า เทรนด์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดที่มาพร้อมความปลอดภัยและขาดไม่ได้ในเรื่องของความสะดวกสบายซึ่งปลั๊ก anitech IOT  คือคำตอบ


นายพิชเยนทร์  กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แอนิเทคได้ทดลองพัฒนาปลั๊ก anitech IOT ในรุ่น H900 โดยใช้ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ ภายหลังพบปัญหาการพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่ต่อเนื่อง   จึงตัดสินใจจัดตั้งทีมพัฒนาขึ้นเองในปลั๊ก anitech IOT รุ่น H1000 ออกแบบมาเป็น 4 Sockets ปุ่มเปิด-ปิด เป็นแบบ Touch Screen ตอบโจทย์เรื่องดีไซน์ที่ทันสมัย   แบ่งเป็น 4 ฟังก์ชันได้แก่ 1.ฟังก์ชันการตั้งค่าการเปิด-ปิด,2. ฟังก์ชันการเปิด-ปิดล่วงหน้าโดยระบุวันและเวลาได้ 3.ฟังก์ชันการตั้งค่าเปิด-ปิด แถมตั้งเวลานับถอยหลัง และ 4.ฟังก์ชัน Power Consumption  คือการแสดงค่าการใช้กำลังไฟฟ้าแบบ Real-Time พร้อมดูสถิติการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าย้อนหลังสูงสุดได้ถึง 3 เดือน ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอปพลิเคชันanitech IOT Application บนสมาร์ทโฟนทั้งระบบ IOS และ Android เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะอยู่ภายในบ้านและนอกบ้านก็สามารถควบคุมได้ 
           นอกจากนี้ แอปพลิเคชันยังถูกออกแบบ User Interfaceทั้งหมดด้วยทีมดีไซน์คนไทย รวมถึงการเขียนและวางโครงสร้าง  Cloud Server ก็อยู่ในประเทศไทย ข้อดีคือเมื่อเกิดปัญการใช้ง่าย ด้านการ Service จะง่ายต่อการแก้ไขและประสานงาน  พูดได้เต็มปากว่านวัตกรรมโดยคนไทยเพื่อคนไทย 

สำหรับราคาของปลั๊ก anitech IOT เปิดตัวอยู่ที่ 2,590 บาท พร้อมการันตีด้วยวงเงินการรับประกันความเสียหายสูงสุด 5 แสนบาท นานถึง1 ปี  ในอนาคตจะพัฒนาปลั๊ก anitech IOT ให้มีระบบเซนเซอร์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น อาทิเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ การวัดแสง และการตรวจจับความเคลื่อนไหว มาเป็นข้อมูลใช้งานในการเปิด - ปิด ปลั๊กไฟเมื่อมีการเคลื่อนไหว ซึ่งลูกค้าสามารถกำหนดเงื่อนไขการทำงานได้อย่างอิสระมากขึ้น 
          ทั้งนี้ปัจจุบันแอนิเทคได้ต่อยอดพัฒนาในรูปแบบของ B2B ซึ่งสามารถเข้าถึงประเภทธุรกิจLogistics, Smart City, Retail, Factory, Food, Hospital, Smart BuildingโดยIOT Platform with Data Analytics สามารถเก็บข้อมูลประเมินผลและวิเคราะห์ช่วยวางแผนแจ้งเตือนถึงความผิดปกติสามารถควบคุม ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น, ลดปัญหาการทำงานที่ไม่จำเป็นลง, ได้ Data ที่สำคัญมาวิเคราะห์ธุรกิจ โดยทาง anitechได้ทำการทดสอบการทำงานกับ Partner ประเภทร้านอาหารที่มาสาขาทั่วประเทศ
       นอกจากนี้ยังมี Service level ตลอด 24 ชั่วโมง ต่อ 7 วัน ไม่มีวันหยุด Service Maintenance ระดับมืออาชีพ พร้อมบริการหลังการขายในการให้ข้อมูลคำแนะนำต่าง ๆ ในการใช้งานได้รวดเร็ว ซึ่งเรามีทีมพัฒนา App และ Firmware เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการใช้งานและทำการ Update ให้ผู้ใช้งานอยู่เสมอในส่วนของมาตรฐานทาง Cyber security มีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารหรือส่งข้อมูลระหว่าง Server กับแอปพลิเคชัน ซึ่งจะใช้การเข้ารหัส TLS 2048 บิต เป็นมาตรฐานของ Server สากล และ ส่วนของการ รับ-ส่ง ข้อมูลของตัวปลั๊กมีการตรวจสอบและระบุตัวตนของปลั๊กอย่างปลอดภัย ด้วยมาตรฐาน jwtecc256
              อย่างไรก็ตามการควบคุมด้วยคำสั่งเสียง และ data analytics dash board สำหรับ B2B เราจะพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ B2B ให้สามารถแสดงข้อมูลต่าง ๆแบบ Real-time และเพิ่มการทำงานของ Sensor รูปแบบต่าง ๆ นำข้อมูลมาผ่านกระบวนการ Data Analytics โดยจะแสดงในรูปแบบ Dash Board เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบสถานะการพัฒนาในเวอร์ชั่นถัดไปของแอปพลิเคชันเราจะพัฒนาให้มีการควบคุมด้วยคำสั่งเสียง ผ่าน Google Home หรือ Amazon Alexa ได้ด้วย 
             นายพิชเยนทร์ สรุปภาพรวมของบริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด เมื่อปี2561 ที่ผ่านมายอดขายในปี 2561 อยู่ที่ 330 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนชิ้นอยู่ที่ประมาณ  2  ล้านชิ้น เติบโตจากปี 2560 อยู่ที่ 25% งบประมาณการตลาดปีนี้อยู่ที่ 45 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10% ของรายได้ประมาณการณ์ในปีนี้  โดยงบประมาณในส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมของสินค้าในครึ่งปีหลัง บุกตลาดปลั๊กanitechIOT หรือ เป็น Product Highlightและตั้งเป้ายอดขายปลายปี 2562ไม่ต่ำกว่า 450  ล้านบาท

ประธานมูลนิธิเทิดทูนธงไทยกับการทำความดี ขอเป็นเสี้ยวหนึ่งที่ได้ทำ

“แม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง มุมหนึ่งในประเทศไทย ก็ดีใจที่ได้ทำ” เป็นคำกล่าวของ นายธนเดช ศรีณรงค์  พร้อมขยายความว่า ในวันนี้ มีคนไทยมากมายที่ยังไม่เคยรู้จักมูลนิธิเทิดทูนธงไทย ซึ่งเราอยากนำเสนอให้ทุกท่านได้เห็นจุดเริ่มเล็กๆที่มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของมูลนิธิฯ นี้ ซึ่งเป็นเพียงบ้านเล็กๆ ที่ก่อกำเนิดขึ้นจากความหวัง ในห้วงเวลาที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยกำแพงแห่งความรู้สึกกันดารความรักสามัคคีและความเอื้ออาทรต่อกันของคนในชาติ โดยพยายามทำให้ทุกคนในบ้านหลังนี้ช่วยกันปลูกต้นกล้าแห่งความดีตามวิถีของผู้ให้ด้วยการยึดแนวทาง “กตัญญู เสียสละ และแบ่งปัน”  เพื่อหวังให้ทุกคนตื่นรู้ถึงความหมายและตระหนักถึงคุณค่าแห่งสัญลักษณ์บนพื้นธงไตรรงค์ ผ่านกิจกรรม “ปลุกจิตสำนึกในการรักและหวงแหนความเป็นไทย ให้กับลูกหลานซึ่งเปรียบเสมือนต้นกล้าของแผ่นดิน” ภายใต้การนำของ นายธนเดช ศรีณรงค์ ประธานมูลนิธิเทิดทูนธงไทย โดยมี นายปรมินทร์ รังษีธรรม (คุณหลง ลงลาย) ร่วมจุดประกายความคิดด้วยการร้องเพลงประสานเสียงที่มีเนื้อหาในการสร้างความปรองดอง ความสามัคคีของคนในชาติ พร้อมกับการสร้างต้นกล้าแห่งความดีให้เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย


       
นายธนเดช  กล่าวว่า" เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางวงสนทนาประสาพี่น้องที่ประกอบด้วยผมและคุณหลง ลงลาย เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเป็นไปในบ้านเมืองและวิถีทางออกจากความขัดแย้งในฐานะคนไทยเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการปลูกฝังเด็กไทยให้มีหัวใจของการรักชาติ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม มุ่งไปทางที่ถูกที่ควร และเป็นการสกัดกั้นความรุนแรง และการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว จึงตกผลึกตรงที่ใช้บทเพลงเป็นอาวุธ ในการขับเคลื่อนกิจกรรม และกลายมาเป็นกิจกรรมต้นแบบภายใต้ชื่อ “มหกรรมคอนเสิร์ตเปิดกำแพงใจ” ณ ตำบลสะพานหิน จังหวัดภูเก็ต เมื่อราว พ.ศ.2554



โดยใช้ธงชาติเป็นสัญลักษณ์ในการทำกิจกรรม ภายหลังการจัดงานในวันนั้น คุณหลง ลงลาย ก็ได้ประพันธ์เพลงธงชาติขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่ว่านี่อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยให้ผสานเข้าด้วยกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไขประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา โรงเรียน มหาวิทยาลัย ในการจัดกิจกรรมเทิดทูนธงไทยด้วยการร้องเพลงประสานเสียงที่มีเนื้อหาในการสร้างความปรองดอง ความสามัคคีของคนในชาติ อาทิเช่น เพื่อนพึ่งพา เพลงธงชาติ เพลงเทิดทูนธงไทย เพลงคำสัญญาจากต้นกล้าของแผ่นดิน เพลงความหวัง เพลงสัญญา เป็นต้น

พร้อมกับการสร้างต้นกล้าแห่งความดีให้เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งทั้งบทเพลงและกิจกรรมได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสถานศึกษาเป็นจำนวนมาก เมื่อมีเครือข่ายที่เล็งเห็นถึงความงดงามและประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อแผ่นดินโดยแท้จริง ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจากจุดเริ่มต้นคิด แล้วลงมือทำโดยการจัดตั้งมูลนิธิเทิดทูนธงไทยขึ้นมาจนถึงวันนี้ รวมเวลาครบ 10 ปีเต็ม

นายธนเดช   กล่าวด้วยว่า มูลนิธิเทิดทูนธงไทย ได้ดำเนินการตามความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดทุกปี เช่น กิจกรรม 100 ปี ธงชาติไทย ที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่โรงเรียนท่าม่วงราษฎร์บำรุง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ตลอดจนกิจกรรมร้อยรักสามัคคี 100 ปีธงชาติไทย รวมใจขับขานบทเพลงเพื่อสันติสุข โรงเรียนสตรีวิทยา 2 เป็นต้น ภายใต้งบประมาณส่วนตัวจากธุรกิจของครอบครัวโดยหวังเพียงความสุข ภายใต้ความคิดที่ว่า การทำความดี “แม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง มุมหนึ่งในประเทศไทย ก็ดีใจที่ได้ทำ”

"เพราะเราตั้งมูลนิธิฯ ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และ สนับสนุนการศึกษาของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และสถานศึกษาที่ขาดแคลนอาคารเรียน อุปกรณ์ทางการศึกษา และอุปกรณ์กีฬา เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน การทำงานของข้าราชการตำรวจ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชาติ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ และเพื่อดำเนินการร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์ โดยมีจุดยืนที่ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด"

พร้อมกันนี้ยังได้กล่าวถึงการดำเนินการในปี 2562 ว่าได้จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562  10 วัน 10 ความดี ถวายรัชกาลที่ 10 เชื่อมั่นและศรัทธา ด้วยคำสัญญาจากต้นกล้าของแผ่นดิน จำนวน 3 ครั้ง ณ โรงเรียนบ้านหินโคน อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้มีโรงเรียนใกล้เคียงเข้าร่วมกิจกรรมด้วย รวมผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คน และที่โรงเรียนปักธงชัยประชานิรมิต ตำบลเมืองปัก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 คน นอกจากนี้ ยังมีที่โรงเรียนเขาพระนอนวิทยาคม ตำบลเขาพระนอน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่เพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2562 นี้ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน ซึ่งทุกครั้งที่ได้ทำกิจกรรม

“กิจกรรมดีๆ มีความยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของผมเหล่านี้จะไม่สามารถสำเร็จขึ้นได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารสถาบันการศึกษาทุกแห่งที่ผมได้มีโอกาสไปจัดกิจกรรมให้ ผมได้เห็นถึงท่าทีของเด็ก ๆ ที่สื่อได้ว่า เด็กๆ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และตื้นตันใจที่ได้เห็นเด็กๆ ร้องเพลงที่ถ่ายทอดให้ได้ทุกเพลง ร้องเพลงเสียงดัง ฉะฉาน ชัดเจน มีใบหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส พร้อมสายตาที่มุ่งมั่น และทุกคนมาร่วมกิจกรรมด้วยความอย่างเต็มใจ   และผมขอฝากถึงเยาวชนให้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เราทำอยู่ คือ รู้คุณของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สามสิ่งที่เราต้องรักษาไว้ เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ เด็กคือผ้าขาวที่เราจะเติมสิ่งดี ๆ และเป็นประโยชนให้กับเขา ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลนิธิเทิดทูนธงไทยได้ทางเว็บไซต์ https://www.tttf.or.th/ หรือโทรติดต่อผมได้ที่หมายเลข 09 0282 4654 ขอบคุณครับ” นายธนเดช กล่าวในตอนท้าย



วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

พม.แถลงการจัดงานThailand Social Expo 2019 ภายใต้แนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ สังคมไทยยั่งยืน – Partnership for Sustainability” ระหว่างวันที่ 5 – 7 กค.w

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ 26 มิ.ย 62 เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการแถลงข่าวการจัดงาน Thailand Social Expo 2019 ภายใต้แนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ สังคมไทยยั่งยืน – Partnership for Sustainability” ระหว่างวันที่ 5 – 7 กรกฎาคม 2562 เวลา09.00-20.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายด้านสังคมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม จากประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน กว่า 22 หน่วยงาน เพื่อแสดงผลงานด้านสังคมของรัฐบาลและงานมหกรรมด้านสังคมครั้งที่ 2 ของประเทศไทย เป็นการต่อยอดและขยายผลของการรวบรวมผลงานนวัตกรรมทางสังคมและเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาสังคมและประชาชนกลุ่มเป้าหมายในทุกช่วงวัย รวมทั้งผลการคิดค้นและการดำเนินงานสำคัญในด้านสังคมของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

กรมการค้าภายใน ชวนฟังสัมมนาเปิดความรู้ ติดอาวุธออร์แกนิคไทย ดังไกลทั่วโลก ในงาน "BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019"






กรมการค้าภายใน ชวนฟังสัมมนาเปิดความรู้ ติดอาวุธออร์แกนิคไทย ดังไกลทั่วโลก ในงาน "BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019"

กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จับมือบริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ ประเทศเยอรมนี เชิญชวนผู้ผลิต ผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าไปทุกทวีปทั่วโลก รวมถึงผู้ที่สนใจร่วมเปิดประสบการณ์มุมมองธุรกิจในตลาดสินค้าอินทรีย์ยุคใหม่ผ่านงานสัมมนาทางวิชาการด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ ภายในงาน "BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019" มีหัวข้อสัมมนาที่น่าใจ ได้แก่ ธุรกิจออร์แกนิคในประเทศไทย : ความท้าทาย, สถานการณ์ด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคเพื่อความงามและสุขภาพในประเทศไทย, Upgrade your brand in South East Asia: NATURLAND positive impact on the value chain และแนวโน้มของผู้บริโภคออร์แกนิคในประเทศไทย เป็นต้น ร่วมเสริมสร้างความรู้ การเตรียมความพร้อม และค้นหาแนวทางการพัฒนาสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอินทรีย์ไทยก้าวสู่ตลาดสากลไปกับกูรูผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเกษตรอินทรีย์ทั้งไทยและต่างประเทศ ได้ระหว่างวันที่ 11–14 กรกฎาคม 2562 ณ ฮอลล์ 7- 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี งานนี้เปิดเข้าฟังฟรี! และรับจำนวนจำกัด ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้ที่เว็บไซต์ ลิ้งค์ : https://www.eventinsight.co/pre/publics/create/visitor/bf19/step1

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2562

‘สุทธิ’ถือฤกษ์เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ‘ปลัดแรงงาน’คนที่ 11

‘สุทธิ สุโกศล’ ถือฤกษ์มงคล เวลาดี 08.50 น. สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล และศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ โอกาสรับตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน คนที่ 11 ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ท่ามกลางข้าราชการ

โดยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2562 เวลา 09.00 น.นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล และศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พ้นจากตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2562 เป็นต้นไป โดยประกาศเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา โดยมี ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย  ณ บริเวณลานพระพุทธสุทธิธรรมบพิตร ด้านล่างอาคารกระทรวงแรงงาน



โดยตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงานว่างลง เนื่องจากนายจรินทร์ จักกะพาก อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ได้ลาออกไปดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา

สำหรับ นายสุทธิ สุโกศล ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน คนที่ 11 สำเร็จการศึกษารัฐศาสตรบัณฑิต (ร.บ.) สาขาการเมืองการปกครอง (เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Master of Arts (M.A.) in Public Policy and Administration University of Wisconsin –Madison ,Wisconsin,USA. ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 41 หลักสูตรนักบริหารการทูต (นบท.) รุ่นที่ 2 หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 57 หลักสูตรการเสริมสร้างนักบริหารทรัพยากรบุคคลมืออาชีพ (Chief Human Resource Officer :CLRO) ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ได้แก่ ผู้อำนวยสำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน แรงงานจังหวัดขอนแก่น สำนักงานแรงงานจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ได้แก่ ประถมาภรณ์มงกุฎไทยปี 2554 และประถมาภรณ์ช้างเผือก
ปี 2557