pearleus

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

MOU

เมื่อ 29 มกราคม 2559  นายจรินทร์ จักกะพาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือการให้การศึกษาทางการเมืองระหว่างสภาพัฒนาการเมืองและโรงเรียนประชาธิปไตยตัวอย่าง ณ ห้องประชุมสภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ 




สถ.สำรวจความต้องการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมยางพาราสำหรับจัดทำโครงการ/กิจกรรมพัฒนา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ

นายจรินทร์  จักกะพาก  อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า       ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2559 ให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในวัสดุ ครุภัณฑ์ และสิ่งก่อสร้างต่างๆ โดยคำนึงถึงคุณลักษณะเฉพาะที่มีความเหมาะสมทางด้านเทคนิค เสนอสำนักงบประมาณเพื่อรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยให้หน่วยงานกำหนดให้ผู้รับจ้างซื้อผลิตภัณฑ์ยางตามโครงการซื้อยางพาราจากการยางแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 คณะกรรมการขับเคลื่อน และปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ประชุมเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2559และมีมติเห็นชอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ สนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ โดยให้ส่วนราชการ/หน่วยงานต่างๆ สำรวจความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมยางพาราสำหรับจัดทำโครงการ/กิจกรรมพัฒนา เพื่อให้การยางแห่งประเทศไทยไปบริหารจัดการเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์/แปรรูป รองรับความต้องการ

                อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกล่าวเพิ่มเติมว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจความรับผิดชอบที่สามารถสนับสนุนการใช้ครุภัณฑ์/ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมยางพารา/การแปรรูปยางพารา เช่น สนามกีฬา/ลานกีฬา/ลู่กรีฑา/ลานอเนกประสงค์/สนามเด็กเล่น/บล็อกปูพื้นถนน/แผ่นพื้น เป็นต้น เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ จึงได้ให้จังหวัดสำรวจความต้องการโครงการที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยางพาราขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือมาตรฐานรองรับ

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งบูรณาการโครงการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชในแหล่งน้ำสาธารณะ

รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชในแหล่งน้ำสาธารณะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน (มกราคม – มีนาคม 2559) โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนงานโครงการบูรณาการหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งภาคประชาชน ร่วมกันดำเนินการและบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
นายจรินทร์ จักกะพาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดพื้นที่ในการดำเนินการโดยแบ่งเป็น แม่น้ำสายหลัก หรือสายรองที่มีขนาดใหญ่      ห้วย หนอง คลอง บึง ลำประโดง หรือแหล่งน้ำสาธารณะ และแหล่งน้ำในเขตชลประทาน ซึ่งองค์กรปกครอง      ส่วนท้องถิ่นได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการดำเนินการในส่วนของห้วย หนอง คลอง บึง ลำประโดง และแหล่งน้ำสาธารณะ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จึงแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อกำจัดผักตบชวาและวัชพืช โดยให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดเป็นผู้รวบรวมและรายงาน                 ผลการดำเนินงาน และกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนด สำหรับกรณีแหล่งน้ำเอกชน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกับฝ่ายปกครอง ในการขอความร่วมมือเจ้าของพื้นที่ในการกำจัดและสร้างแนวป้องกันผักตบชวาและวัชพืช ไม่ให้แพร่กระจายสู่แหล่งน้ำสาธารณะ รวมถึงการจัดหาสถานที่ทิ้งผักตบชวาและวัชพืชในสถานที่เหมาะสม หรือการส่งเสริมการนำผักตบชวาไปให้ประโยชน์


มหาดไทยห่วงใยผู้ประสบภัยหนาว สั่งการทุกจังหวัด ให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ทั่วถึง เป็นธรรม และให้ปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด

เมื่อ 28 ม.ค. 59 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เนื่องด้วยในปัจจุบันลักษณะอากาศค่อนข้างจะแปรปรวน ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ความแห้งแล้ง อากาศหนาวเย็น ฝนฟ้าคะนอง ตลอดจนภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินต่างๆ เกิดขึ้นในพื้นที่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ซึ่งส่วนราชการจะต้องดำเนินการช่วยเหลือโดยเร่งด่วนตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ
           กระทรวงมหาดไทยในฐานะที่มีหน้าที่ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในระดับพื้นที่ มีความห่วงใยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศในช่วงนี้ ดังนั้น เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ทั่วถึงเป็นธรรม และมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2556 กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีหนังสือสั่งการด่วนที่สุดไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อซักซ้อมแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด ดังนี้
              1. การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้ประกาศกำหนดพื้นที่ที่เกิดภัยเป็นรายหมู่บ้าน/ชุมชน ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในช่วงเวลานั้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมกับ คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับอำเภอท้องที่ พร้อมทั้งนำข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาและหากภัยพิบัติส่งผลกระทบเป็นวงกว้างก็ให้ประกาศเพิ่มเติมเป็นรายพื้นที่ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และให้ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการประกาศฯ กรณีฉุกเฉินเพิ่มเติม พร้อมทั้งระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน เนื่องจากประกาศดังกล่าวจะใช้เป็นข้อมูลกลางสำหรับหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลซึ่งทุกจังหวัดจะต้องให้ความสำคัญ และกรณีภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้ยุติลงให้จังหวัดประกาศวัน เดือน ปี ที่สิ้นสุดภัย ทั้งนี้ ให้เร่งพิจารณาดำเนินการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือฯ โดยเร่งด่วนทันทีเมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลครบถ้วนแล้ว
           2. การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ.2556 ซึ่งได้กำหนดวิธีการประชุมและองค์ประชุมในการพิจารณามติของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ทั้งในส่วนของจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) อำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) หรือกิ่งอำเภอ (ก.ช.ภ.กอ.) ไว้แล้วอย่างเคร่งครัด สำหรับกรณีการใช้มติเวียน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยระเบียบ ไม่สามารถกระทำได้
           3. ให้จังหวัดประเมินสถานการณ์และวางแผนเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทดรองราชการ หากวงเงินทดรองราชการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ให้เสนอเรื่องขอขยายวงเงินทดรองราชการไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทันที เพื่อประสานกระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติโดยเร่งด่วน ซึ่งตามระเบียบฯ กำหนดให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด มีวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน 20 ล้านบาท สำหรับทุกภัยพิบัติ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

              สำหรับการจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จังหวัดจะต้องถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดเท่านั้น หากจังหวัดมีความจำเป็นต้องจ่ายนอกเหนือหลักเกณฑ์ที่กำหนด ให้เสนอเรื่องขออนุมัติปฏิบัตินอกเหนือหลักเกณฑ์ไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยด่วน เพื่อส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติก่อนที่จังหวัดจะจ่ายเงินทดรองราชการนอกเหนือหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ โดยระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินมีกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่เกิดภัย
        ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดกำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยเคร่งครัด ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกพื้นที่ทั้งประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้ประสบภัยได้ทราบและเข้าใจตามหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการสั่งการให้ทุกจังหวัดประสานสาธารณสุขจังหวัดชี้แจงประชาชนในเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเอง เน้นการรักษาสุขภาพร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอเพื่อลดการเจ็บป่วยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในขณะนี้ด้วย


จังหวัดนครปฐมมอบรถโยกรถเข็นแก่คนพิการ

          เมื่อ 29 มกราคม 2559 นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานมอบรถโยกรถเข็นแก่คนพิการแก่คนพิการในพื้นที่อำเภอต่างๆ ในจังหวัดนครปฐม จำนวน 37 คัน ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดนครปฐม โดยนางสาวชวนชม จันทะวงษ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้จัดทำโครงการ ส่งเสริมและคุ้มครองการเข้าถึงสิทธิคนพิการ เพื่อให้คนพิการได้รับการส่งเสริมความเสมอภาคและบริการสวัสดิการเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา แก่คณะครู อาจารย์ และนักศึกษาในจังหวัดนครปฐม ตามโครงการปณิธานความดีปีมหามงคล

วันที่ 29 มกราคม 2559 ที่ห้องประชุมปิ่นเกลียว มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ ทำความดีเริ่มได้ที่ใจเรา แก่คณะครู อาจารย์ และนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ ในจังหวัดนครปฐม ตามโครงการปณิธานความดีปีมหามงคล โดยสมาคมศูนย์ประสานงานองค์กรเอกชนจังหวัดนครปฐม และคณะกรรมการจริยธรรมประจำจังหวัดนครปฐม ร่วมกับ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จัดขึ้นเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 88 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2558 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 5 รอบ 60 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2558  ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกันตั้งปณิธานทำความดี โดยจะตั้งปณิธาน คนละหนึ่งอย่าง หรือองค์กรละหนึ่งอย่าง เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเป็นของขวัญแด่พระองค์ท่าน ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พระองค์จะทรงสำราญพระราชหฤทัย และทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญ ร่มเกล้าแก่พสกนิกรตราบนานเท่านาน อีกทั้ง เพื่อเป็นการทดแทนคุณแผ่นดิน อีกด้วย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบประกาศเกียรติคุณบัตร แก่ผู้มีอุปการคุณให้การสนับสนุนโครงการปณิธานความดีปีมหามงคล จากนั้นได้นำผู้เข้าร่วมโครงการฯ กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ในการที่จะร่วมกันทำความดี พร้อมเป็นพลังแผ่นดินในการแสดงความรักและหวงแหนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์









มหาดไทยสั่งทุกจังหวัด เร่งดำเนินโครงการตามมาตรการตำบลละ 5 ล้าน พร้อมจัดทีมช่วยเหลือและสนับสนุนการทำงาน

          เมื่อ 30 ม.ค. 59 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมาย
ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงานโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ 5 ล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน การบริโภคและการลงทุนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงมหาดไทยได้มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและเร่งการดำเนินงานในทุกๆ โครงการในพื้นที่ เพื่อให้เม็ดเงินถึงมือประชาชนโดยเร็วและเกิดประโยชน์สูงสุด และจากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าผลการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการฯ มีความล่าช้าเนื่องจากมีข้อติดขัดเกี่ยวกับขั้นตอนและระบบการเบิกจ่าย โดยกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางและมาตรในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ซึ่งมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งและต้องการให้เร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลา (มีนาคม 2559)
         กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีหนังสือสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้เร่งรัดโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยให้ดำเนินการ ดังนี้ 1.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแล อำนวยการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง โดยถือเป็นงานนโยบายสำคัญที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 พร้อมทั้งลงไปสนับสนุนและแก้ไขปัญหาการทำงานในระดับอำเภอ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยพร้อมให้การสนับสนุนอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ตามคำร้องขอของจังหวัด หรือ จังหวัดอาจใช้วิธีระดมเจ้าหน้าที่ไปช่วยในแต่ละพื้นที่อำเภอ หรือกรณีอำเภอที่ประสบผลสำเร็จแล้วให้จัดทีมงานไปช่วยเหลืออำเภออื่นๆ ที่ยังมีปัญหาในการดำเนินงาน
         2.ให้จังหวัดตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายงบประมาณ และการก่อหนี้ผูกพัน จากระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) และข้อมูลการลงระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ (GFMIS) ทุกวัน เพื่อให้ทราบภาพรวมของการเบิกจ่ายงบประมาณของจังหวัด เพื่อจะได้ลงไปแก้ปัญหาได้ถูกจุ 3.ให้จังหวัดเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันสำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว และหากต้องการขยายระยะเวลาดำเนินการ ให้แจ้งส่วนกลางเพื่อดำเนินการต่อไป 4.โครงการที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน เช่น กรณีโครงการที่ดำเนินการในที่ดินสาธารณประโยชน์ ให้เร่งดำเนินการตามมติที่ประชุม เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559 และกรณีโครงการที่ดำเนินการในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 
5.โครงการขุดบ่อน้ำบาดาล
 ซึ่งจะต้องขออนุญาตในการดำเนินการ โดยในพื้นที่วิกฤตให้จังหวัดรายงานส่วนกลาง เพื่อดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป         
         6.กรณีจังหวัดมีปัญหาเรื่องกำหนดราคากลาง และการปรับลดวงเงินงบประมาณโครงการของสำนักงบประมาณ ซึ่งจังหวัดต้องปรับปรุงรูปแบบรายการ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแก้ไขปัญหาโดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดตั้งทีมช่าง โดยขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายในจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 7.ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถจ้างผู้มีความรู้ด้านการเงิน บัญชีและพัสดุ เพื่อช่วยการปฏิบัติงานของอำเภอและจังหวัดได้ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ จังหวัดสามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบ e-GP ของกรมบัญชีกลางได้ตลอด 24 ชั่วโมง

          ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นที่จะดูแลทุกโครงการให้บรรลุตามเป้าหมายของรัฐบาล และต้องการเร่งรัดการดำเนินงาน และการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในกำหนด โดยกำชับให้ทุกจังหวัดได้ติดตามและตรวจเยี่ยมในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เม็ดเงินที่จะลงไปช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยทุกโครงการและทุกงบประมาณ ต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมทั้งก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนต่อไป

พม่าตั้งแก๊งค้ายาในสมุทรสาคร

เมื่อ 27 ม.ค. 59 ชุดรวบรวมติดตามข่าวสารเพื่อความมั่นคง เข้าจับกุมยาเสพติดใน จ.สมุทรสาคร
จับกุม นายหม่องเล ไม่มีนามสกุล อายุ 26 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 175 เม็ด กล่าวหาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้า)ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิด หมู่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

จากการสืบสวนขยายผลนายหม่องเลฯ รับว่ารับยาบ้ามาจากเพื่อนชาวพม่าด้วยกัน ในราคาถุงละ(200เม็ด)12,000 บาท ไม่มีเบอร์โทรติดต่อ โดยเพื่อนชาวพม่าจะนำยาบ้ามาให้ตนจำหน่าย 20วันมา1ครั้ง จึงไม่สามารถขยายผลจับกุมได้

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

รวบสาวใจกล้าซุกยาบ้า ในแผงเสียบปักไฟส่งในโรงพัก

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.59 เวลาประมาณ 12.00 น.ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ผกก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.ท.นนท์ ภักดีพันธ์ รอง ผกก.สส.ฯ, พ.ต.ท.รณกรประคองศรี รองผกก.สส.ฯ สั่งการให้ พ.ต.ต.ไชยภูมิ ฉลองภูมิ สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร/เจ้าพนักงาน ปปส. หมายเลขประจำตัว 532405, ร.ต.ท.ธานินทร์ นุชเจริญ รอง สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. หมายเลขประจำตัว 563177, ร.ต.ต.ณรงค์ หอมเย็น,ร.ต.ต.โชติ แสนชัย, ร.ต.ต.วินัย พวงทองคำ, ร.ต.ต.อรัณย์ ทาเกตุ, ด.ต.ณัฐนนท์ เติมยศ, ด.ต.สันติ เรืองฤทธิ์ , จ.ส.ต.ธนเดช โพธิ์งาม, จ.ส.ต.นที บุญทาน ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.พิมพ์ณดา หรือโบว์ บุตรดี อายุ 31 ปี พร้อมของกลาง "ยาบ้า จำนวน 100 เม็ด" หลังหลงกลเจ้าหน้าที่ตำรวจวางสายซ้อนแผนตายใจนัดส่งของในโรงพักขับรถเข้าถ้ำเสือตะครุบได้พร้อมของกลาง ยาบ้า พันด้วยผ้าเทป ซุกมาแบบรัดกุมใต้ตลับแผงเสียบปักไฟก่อนคุมตัวทำการสอบสวน โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย" จับกุมได้ที่ บริเวณภายในลานจอดรถยนต์ ภ.จว.สมุทรสาคร ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จากการขยายผลผู้ต้องหารับยาบ้ามาจากน.ส.วันฯ ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริงรู้เพียงว่าพักอาศัยอยู่ใน จ.สมุทรสาคร จึงได้ให้ น.ส.โบว์ฯโทรศัพท์ติดต่อสั่งยาแต่ น.ส.วันฯ ไหวตัวทันปิดมือถือจึงได้ทำบันทึกคำรับสารภาพ นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่ง พงส.สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินคดีต่อไป เงาพญาราหู รายงาน

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

โครงการจังหวัดนครปฐมพบประชาชนประจำเดือนมกราคม 2559

หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดนครปฐม ออกหน่วยให้บริการประชาชนในพื้นที่ อำเภอสามพราน ตามโครงการจังหวัดนครปฐมพบประชาชน ประจำเดือนมกราคม 2559
เมื่อ 21 มกราคม 2559 นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานนำหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน ให้บริการตามโครงการจังหวัดนครปฐมพบประชาชน และโครงการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน ประจำเดือนมกราคม  2559 ณ วัดบางปลาอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เพื่อให้บริการช่วยเหลือประชาชน ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องออกไปรับบริการที่อำเภอหรือจังหวัด อีกทั้งเพื่อให้ส่วนราชการ ได้มีโอกาสพบปะเยี่ยมเยียนเพื่อสอบถามความทุกข์สุขและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างทั่วถึง สร้างความสมานฉันท์และรอยยิ้มให้กับประชาชน ตลอดจนสร้างภาพพจน์ที่ดีของทางราชการต่อประชาชน และส่งเสริมให้ประชาชนมีความริเริ่ม ร่วมมือ ร่วมใจ ในการปฏิบัติงานร่วมกับทางราชการ รวมถึงเพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนด้านการครองชีพในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยการจำหน่ายสินค้าราคาถูก การบริการด้านสุขภาพ อนามัย การสงเคราะห์คนยากจน การนำงานออกบริการเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว และเพื่อนำงานของส่วนราชการออกแนะนำ ให้ความรู้ ความเข้าใจให้คำปรึกษา ตลอดจนเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ราษฎร ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง นโยบายสำคัญของรัฐบาล หาข้อขัดข้องต่างๆ ในการดำเนินการของทางราชการ นอกจากนี้ยังแนะนำจัดหาอาชีพเสริม เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น โดยมีประชาชนในพื้นที่ตำบลสระกระเทียมและตำบลใกล้เคียง ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม และหัวหน้าส่วนราชการ ได้มอบเงินสงเคราะห์ให้แก่เด็กนักเรียนในครอบครัวที่มีฐานะยากจน อีกทั้งมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนและผู้สูงอายุ และมอบพันธุ์ปลาให้กับเกษตรกร  หลังจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นายกเหล่ากาชาดจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ ได้ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่แม่น้ำท่าจีนอีกด้วย

ปัญจะ  เอี่ยมประสพชัย/ภาพ – ชุติมา ลีนุกูล/ข่าว                        










เมื่อ 21 มกราคม 2559 นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานนำหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน ให้บริการตามโครงการจังหวัดนครปฐมพบประชาชน และโครงการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน ประจำเดือนมกราคม  2559 ณ วัดบางปลาอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เพื่อให้บริการช่วยเหลือประชาชน ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องออกไปรับบริการที่อำเภอหรือจังหวัด อีกทั้งเพื่อให้ส่วนราชการ ได้มีโอกาสพบปะเยี่ยมเยียนเพื่อสอบถามความทุกข์สุขและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างทั่วถึง สร้างความสมานฉันท์และรอยยิ้มให้กับประชาชน ตลอดจนสร้างภาพพจน์ที่ดีของทางราชการต่อประชาชน และส่งเสริมให้ประชาชนมีความริเริ่ม ร่วมมือ ร่วมใจ ในการปฏิบัติงานร่วมกับทางราชการ รวมถึงเพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนด้านการครองชีพในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยการจำหน่ายสินค้าราคาถูก การบริการด้านสุขภาพ อนามัย การสงเคราะห์คนยากจน การนำงานออกบริการเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว และเพื่อนำงานของส่วนราชการออกแนะนำ ให้ความรู้ ความเข้าใจให้คำปรึกษา ตลอดจนเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ราษฎร ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง นโยบายสำคัญของรัฐบาล หาข้อขัดข้องต่างๆ ในการดำเนินการของทางราชการ นอกจากนี้ยังแนะนำจัดหาอาชีพเสริม เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น โดยมีประชาชนในพื้นที่ตำบลสระกระเทียมและตำบลใกล้เคียง ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม และหัวหน้าส่วนราชการ ได้มอบเงินสงเคราะห์ให้แก่เด็กนักเรียนในครอบครัวที่มีฐานะยากจน อีกทั้งมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนและผู้สูงอายุ และมอบพันธุ์ปลาให้กับเกษตรกร  หลังจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นายกเหล่ากาชาดจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ ได้ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่แม่น้ำท่าจีนอีกด้วย

ปัญจะ  เอี่ยมประสพชัย/ภาพ – ชุติมา ลีนุกูล/ข่าว                        

สถ.พัฒนาศักยภาพบุคลากรสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเยาวชนนอกสถานศึกษา

นายจรินทร์  จักกะพาก  อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า       ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ มีคำสั่งที่ 8/2558 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558             เรื่องแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปี 2559 โดยมียุทธศาสตร์ที่ 1  การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แผนงานสร้างภูมิคุ้มกันเด็กและเยาวชนนอกสถานศึกษา ได้กำหนดแนวทางส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาเยาวชนนอกสถานศึกษา ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การสร้างงาน สร้างอาชีพ การเรียนนอกระบบ กีฬา/นันทนาการ และงานจิตอาสาต่างๆ โดยใช้ศูนย์เยาวชนในพื้นที่เป็นกลไกในการดำเนินงานโดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพบุคลากรสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเยาวชนนอกสถานศึกษา

                อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และเพื่อเป็นการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน ในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในเด็กและเยาวชนนอกสถานศึกษา และเพื่อสร้างความตระหนัก ความรู้ และความเข้าใจในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดศูนย์เยาวชนระดับพื้นที่ เพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันปัญหายาเสพติดในกลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษา จึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและบุคลากรสำคัญในการแก้ปัญหายาเสพติดเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพบุคลากรสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเยาวชนนอกสถานศึกษา ที่สำนักงาน ป.ป.ส. จัดขึ้น

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มอบของขวัญปีใหม่ “มหาดไทยห่วงใย ใส่ใจผู้สูงอายุ”

รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม เพื่อมอบเป็น “ของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน” ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในเรื่องการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน          งานบริการประชาชน และงานบริการด้านสาธารณูปโภค จึงได้คัดเลือกผลงานที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งได้จัดทำโครงการพิเศษภายใต้แนวคิด “เสริมสร้างชีวิตใหม่ ให้คนไทยมีความสุข” น้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่สังคมไทย สร้างชีวิตใหม่ประชาชน โดยกลไกประชารัฐ ผ่าน 16 กิจกรรมสำคัญ
นายจรินทร์ จักกะพาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมกรณีประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” ในปี 2568 และเพื่อมอบ   ให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน จึงได้จัดทำโครงการ “มหาดไทยห่วงใย ใส่ใจผู้สูงอายุ” มุ่งหวังให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งได้พัฒนาระบบบริการ และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ให้มีสุขภาพอนามัย และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้แก่ ระบบการเฝ้าระวังสุขภาพ / สุขภาวะด้วยตนเองและครอบครัว การสร้างเครือข่าย การจัดบริการผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการด้านการแพทย์ ด้านสังคม และด้านการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีตลอดทั้งปี และเพื่อให้เกิดเครือข่ายการจัดบริการผู้สูงอายุในท้องถิ่น ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรค   ในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้แจ้งซักซ้อมแนวทางการดำเนินการให้แก่องค์กรปกครอง       ส่วนท้องถิ่นทุกแห่งทั่วประเทศ โดยให้ดำเนินการสำรวจข้อมูล / สภาพผู้สูงอายุในชุมชน / หมู่บ้าน ร่วมกับชมรมผู้สูงอายุ องค์กรภาคประชาชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและการบูรณาการภาคีเครือข่ายในพื้นที่ และ   ให้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ คัดกรองเพื่อจำแนกกลุ่มผู้สูงอายุตามภาวะ พร้อมทั้งประเมินความจำเป็นด้านการสนับสนุนบริการและจัดบริการด้านสุขภาพและสังคม ตลอดจนดำเนินการประชุม   ภาคีเครือข่าย ผู้แทน / ตัวแทนภาครัฐ ชุมชน / หมู่บ้าน อาสาสมัคร องค์กรชุมชน องค์กรสาธารณประโยชน์        ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานและรูปแบบแผนงานต่อไป


สถ.ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งดำเนินการก่อสร้างฝายกระสอบทราย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลำน้ำ และบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปี 2559

นายจรินทร์  จักกะพาก  อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า       จากการคาดการณ์สถานการณ์น้ำในปี 2559 เนื่องจากสภาวะภูมิอากาศโลกเกิดการแปรปรวนทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลหรือตกทิ้งช่วงเป็นเวลานาน จึงคาดว่าปริมาณน้ำอาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรตามปกติได้ และบางพื้นที่อาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับทำการเกษตร อีกทั้งยังจำเป็นต้องรักษาน้ำบางส่วนไว้เฉพาะเพื่อการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้งอีกด้วย เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้มอบให้กรมชลประทานพิจารณาแผนงาน/โครงการที่บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2559 เป็นการเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการเก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำ ซึ่งแนวทางในการดำเนินการปัจจุบันเป็นช่วงที่ลำน้ำต่างๆ ยังอยู่ในสภาวะที่มีปริมาณน้ำเพียงพอที่จะเก็บกักไว้ใช้ในฤดูแล้งได้ จึงมีความเหมาะสมที่จะให้มีการจัดทำที่เก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำเป็นการชั่วคราวทั้งในแหล่งเก็บกักน้ำ/คลองระบายน้ำ/ลำน้ำธรรมชาติเช่น การก่อสร้างฝายกระสอบทรายชั่วคราวปิดกั้นลำน้ำ ซึ่งใช้ระยะเวลาไม่เกิน 45 วัน (ขึ้นอยู่กับขนาด ความสูงและพื้นที่ดำเนินการ) เนื่องจากเป็นโครงการที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและมีลักษณะโครงสร้างที่เป็นการใช้งานชั่วคราวจึงออกแบบไว้เป็นลักษณะฝายกระสอบทราย ซึ่งง่ายต่อการก่อสร้าง ท้องถิ่น/ชุมชน/ประชาชน สามารถดำเนินการได้เองตามความพร้อมและศักยภาพของแต่ละพื้นที่และการมีส่วนร่วมของประชาชน และใช้งบประมาณไม่มากในแต่ละแห่ง ในเบื้องต้นกรมชลประทานได้เคยสำรวจพื้นที่ลำน้ำขนาดเล็กที่มีศักยภาพ รวม 526 แห่ง แบ่งเป็นพื้นที่ภาคเหนือ 100 แห่ง พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 384 แห่ง พื้นที่ภาคกลาง 10 แห่ง และพื้นที่ภาคตะวันออก 32 แห่ง และเนื่องจากเป็นงานที่ท้องถิ่น/ชุมชน/ประชาชน สามารถดำเนินการได้เอง จึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการดังกล่าว
อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวเพิ่มเติมว่า หากโครงการก่อสร้างฝายกระสอบเสร็จสิ้นทั้ง 526 แห่ง จะสามารถเก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำได้ประมาณ 51.73 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์ ประมาณ 397,199 ไร่ หรือครัวเรือนรับประโยชน์ประมาณ 26,500 ครัวเรือน


วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

มหาดไทยเร่งพัฒนาระบบบริการสาธารณูปโภคพื้นฐานไฟฟ้า – ประปา มอบเป็นของขวัญให้ประชาชนในปี 2559 ภายใต้แนวคิด “เสริมสร้างชีวิตใหม่ ให้คนไทยมีความสุข”

เมื่อ 20 ม.ค. 59 พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจึงได้ดำเนินโครงการ  “ลดความเหลื่อมล้ำ แบ่งปันความสุข เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการที่ดีจากภาครัฐอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม โดยเฉพาะการให้บริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไฟฟ้า ประปา ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชน และ เป็นบริการที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ดังนั้น กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีนโยบายเร่งรัดดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายเขตพื้นที่ให้บริการระบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า น้ำประปา ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล พื้นที่เกษตรกรรมหรือถิ่นทุรกันดาร โดยมีภาพรวมแผนงาน/โครงการการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2559 ดังนี้
1. โครงการขยายพื้นที่ให้บริการไฟฟ้าให้กับบ้านเรือนราษฎรรายใหม่ในพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจากข้อมูลในปัจจุบันพบว่ามีจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนภูมิภาค ประมาณ 1ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 99.98 ของจำนวนครัวเรือนทั้งประเทศ    การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงได้วางเป้าหมายขยายพื้นที่ให้บริการไฟฟ้าให้แก่ประชาชนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอีกจำนวน 35,000 ครัวเรือน  และยังมีโครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าส่องสว่างบริเวณโบราณสถานที่มีชื่อเสียงและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวและเป็นการอนุรักษ์พลังงาน โดยเปลี่ยนมาใช้หลอดประหยัดไฟชนิด LEDเริ่มดำเนินการในสถานที่สำคัญ 9 แห่ง อาทิ บริเวณวัดโสธรวรารามวรวิหาร องค์พระปฐมเจดีย์ และมัสยิดกลางปัตตานี เป็นต้น
สำหรับในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการมีผู้ใช้ไฟฟ้าประมาณ 3.5 ล้านราย ซึ่งถือว่าประชาชน    มีไฟฟ้าใช้ในครัวเรือนอย่างทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ การไฟฟ้านครหลวงก็ได้พัฒนาคุณภาพระบบจำหน่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยดำเนินการตามแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า และแผนงานเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินที่ได้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2558   ไปจนถึง 2564 ในพื้นที่ 6 โครงการ รวมระยะทาง 53.3 กิโลเมตร ได้แก่ โครงการสุขุมวิท โครงการจิตรลดา ปทุมวัน และพญาไท โครงการนนทรี โครงการพระราม 3 โครงการรัชดาภิเษก-อโศก และโครงการรัชดาภิเษก-พระรามเก้า และโครงการเปลี่ยนโคมไฟฟ้าสาธารณะมาใช้หลอด LED ในถนนสายหลักที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว 12 สาย และชุมชนต่างๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และนักท่องเที่ยว
          2. ในส่วนของการขยายพื้นที่ให้บริการน้ำประปาก็มีได้มีแผนงานที่จะขยายพื้นที่ให้บริการกว่า 2.3 ครัวเรือน และการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ ทั้งนี้ จากข้อมูลในปัจจุบันสำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลการประปานครหลวงได้ให้บริการน้ำประปาแก่ผู้ใช้น้ำประมาณ 2.2 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 12 ล้านคน        มีพื้นที่ให้บริการคิดเป็นร้อยละ 99 ของพื้นที่รับผิดชอบทั้งหมด อย่างไรก็ตามพบว่าในเขตพื้นที่รอบนอกกรุงเทพมหานคร   บางพื้นที่ยังไม่มีน้ำประปาใช้ หรือบางส่วนเป็นชุมชนที่อยู่ห่างไกลเส้นท่อประปา หรือชุมชนที่บริการยังเข้าไปไม่ถึงทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จึงได้มอบหมายให้การประปานครหลวงเร่งรัดดำเนินการขยายบริการน้ำประปาให้ทั่วถึง     โดยได้เตรียมงบประมาณสำหรับวางท่อประปาเพื่อขยายพื้นที่ให้บริการไว้แล้ว จำนวน 200 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถให้บริการประชาชนให้มีน้ำประปาใช้เพิ่มขึ้นอีก2,662 ครัวเรือน หรือประมาณ 11,447 คน  
          สำหรับในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ให้บริการของการประปาส่วนภูมิภาคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ประปาหมู่บ้าน) ปัจจุบันการประปาส่วนภูมิภาคได้ให้บริการน้ำประปาแก่ผู้ใช้น้ำประมาณ 3.9 ล้านครัวเรือน โดยในปีนี้ได้มีการเร่งรัดดำเนินโครงการลงทุนเพื่อให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชนในส่วนภูมิภาค เป็นเงินงบประมาณรวมกว่า 2,337 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำประปาที่สะอาดมีคุณภาพได้มาตรฐานเพิ่มขึ้นอีก 2.3 แสนครัวเรือน หรือประมาณ 6.9 แสนคน ในส่วนของพื้นที่ให้บริการประปาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ประปาหมู่บ้าน) ที่ดำเนินการโดยเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลก็ได้มีการเร่งรัดให้ดำเนินการจัดหาน้ำอุปโภคบริโภคให้เพียงพอ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพน้ำประปาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามข้อกำหนดด้วย
          และเพื่อให้มั่นใจว่าในช่วงฤดูแล้งนี้ประชาชนจะมีน้ำประปาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ กระทรวงมหาดไทยจึง    ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการเพื่อบริหารจัดการแหล่งน้ำดิบและประเมินปริมาณน้ำต้นทุนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และได้ดำเนินการขุดลอก คูคลอง สูบผันน้ำ เจาะบ่อบาดาล ปรับปรุงแหล่งน้ำ ขุดสระเก็บน้ำ วางท่อน้ำดิบ ก่อสร้างระบบผลิตและวางท่อส่งน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ให้ได้มากที่สุดภายใต้แผนงานระยะเร่งด่วน งบประมาณรวม 2,096 ล้านบาท ตลอดจน  การรณรงค์ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการประหยัดน้ำซึ่งจะเป็นการช่วยลดผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งอีกทางหนึ่งด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างยิ่งที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเท่าเทียมทั้งในสังคมเมืองและในชนบท โดยเฉพาะการจัดให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน   อันจำเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนให้มีมาตรฐานเดียวกันในทุกพื้นที่ของประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค

ตร.มหาชัยจับสาวลาวค้ายาเสพติดเจอปืนเถื่อน

เมื่อ 19 ม.ค. 59 เจ้าพนักงานตำรวจภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร , พ.ต.ท. มาโนช จันทร์เที่ยง รอง ผกก.สส.ฯ สั่งการให้  พ.ต.ท.พงษ์ศิริ เก่งนอก สว.สส ฯ. ,พ.ต.ต. มนูญ แก้วก่ำ สว.สสฯ., ,ร.ต.ท.สมศักดิ์ กิตติวัชรานนท์ และเจ้าหน้าที่สืบสวนเมือง ร่วมกันจับกุมตัว ผู้ต้องหา พรบ.ยาเสพติด3  ราย  คือ   1.นางสาว กี๊   ไม่ทราบนามสกุลจริง (สัญชาติลาว ) อายุ 25 ปี  โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์ ) มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย  และ มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและ หลบหนีเข้าเมืองมาโดยไม่รับอนุญาต พร้อมของกลาง  ลำดับที่ 1.  ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) บรรจุอยู่ในซองพลาสติกใส แบบมีผนึกเปิด-ปิดได้จำนวน 1  ซอง น้ำหนักชั่งพร้อมซอง ซองละจำนวน  0.90 กรัม ลำดับที่ 2.  อาวุธปืนพกสั้นแบบไทยประดิษฐ์  ขนาด .22  มีเครื่องหมายทะเบียน ชย 74799 จำนวน 1 กระบอก ลำดับที่ 3. กระสุนปืน ขนาด.22 จำนวน 5 นัด ลำดับที่ 4. ซองพกอ่อนใสปืนจำนวน 1 อัน
   2.น.ส. ทวิกา หรือ มาย คนเฉียบ อายุ  17  ปี  โดยกล่าวหาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายจำนวนยาบ้า 170 เม็ด    3.นาย ยงยุทธ หรือหนึ่ง สว่างวงษ์ อายุ 44 ปี  โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายของกลางยาบ้า จำนวน 1เม็ด  นำตัวพร้อมของกลางมาที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาครจัดทำบันทึกการจับกุม  นำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองฯ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.
 เงาพญาราหู รายงาน
e='font-size:16.0pt;line-height:115%;font-family:"Angsana New","serif"'>


 เงาพญาราหู รายงาน

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

สืบสวนบางโทรัด ขยายจับชาวเมืยนม่าร์เครือข่ายยาเสพติด

เมื่อ 19 ม.ค.  59 ภายใต้อำนวยการของ พ.ต.อ.นภดล รุ่งสาคร  ผกก.สภ.บางโทรัด  , พ.ต.ท.สมโภชน์ จูเจริญ รอง ผกก.สส.ฯ  สั่งการให้  พ.ต.ท.รังสี ประทุมพร สวป.ฯ , ร.ต.อ.ดำเกิง เรือนวิลัย รอง สวป.ฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ปส.1 ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา คือ
    1.เวลาประมาณ 11.30 น. จับกุมตัว นายชาญยุทธ หรือเอฟ บุษบง   อายุ 23 ปี ข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้า,ยาไอซ์)ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย  ของกลาง 1.) ยาบ้าเม็ดสีส้มกลมแบนมีอักษรWYบรรจุในถุงพลาสติกใสแบบปิดผนึก จำนวน 50 เม็ด  2.) ยาไอซ์ชนิดเกล็ดสีขาวขุ่นบรรจุในถุงพลาสติกใสแบบปิดผนึก 1 ถุง น้ำหนักประมาณ 1.2 กรัม เหตุเกิด ม.1 ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
ทำการขยายผลจับกุม
     2.เวลาประมาณ 14.00 น. จับกุมตัว นายโจโม หรือ AUNG KYAW MOE ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง(สัญชาติพม่า) อายุ 40 ปี ข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย  ของกลาง 1.)ยาบ้าเม็ดสีส้มกลมแบนมีอักษรWY บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส จำนวน  5  เม็ด (สายลับนำมามอบให้)  2.)ยาบ้าเม็ดสีส้มกลมแบนมีอักษรWY บรรจุอยู่ในหลอดตัด จำนวน  2  หลอดๆละ 15 เม็ด เหตุเกิด ม.1  ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
จากการซักถามทราบว่า ซื้อยาบ้ามาจาก นายกาย ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง เป็นชาวพม่า บ้านอยู่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เนื่องจากนายกายทราบข่าวการถูกจับ ไหวตัวทัน จึงไม่สามารถทำการขยายผลได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ทำการเก็บข้อมูลเครือข่ายไว้ จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง พงส.สภ.บางโทรัดฯเพื่อดำเนินคดี.

 เงาพญาราหู รายงาน

“ปีใหม่ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์”

ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมพิธีมอบโล่เกียรติยศจังหวัดดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จ
ในการป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ตามโครงการ ปีใหม่ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์ย้ำให้ทุกฝ่ายร่วมกันป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี  
          เมื่อ 19 ม.ค. 59  เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ ถนนอู่ทองนอก เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้เข้าร่วม  ในพิธีมอบโล่เกียรติยศจังหวัดดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จในการป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนและมอบโล่ขอบคุณองค์กรที่ให้การสนับสนุนโครงการ ปีใหม่ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์” โดยมี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและประธานมูลนิธิรัฐบุรุษฯ เป็นประธานในพิธีมอบโล่เกียรติยศฯ ให้จังหวัดดีเด่น 5 จังหวัด และมอบโล่ขอบคุณองค์กรที่ให้การสนับสนุนโครงการ ปีใหม่ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์” 
          โอกาสนี้ นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในนามของกระทรวงมหาดไทยและศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้กล่าวขอบคุณมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ได้บูรณาการดำเนินการร่วมกันกับทุกจังหวัดเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงระยะเวลา 7 วันของเทศกาลปีใหม่ 2559 ด้วยความทุ่มเทเสียสละอย่างเต็มกำลังความสามารถ จนประสบความสำเร็จไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง แพร่ และระนอง นอกจากนี้ ได้มีจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง แต่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนได้ร้อยละ 50 จากปีที่ผ่านมา  อีกจำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี  สำหรับในระดับอำเภอนั้นมีอำเภอทั้งหมด878 อำเภอ โดยอำเภอที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมีจำนวนถึง 629 อำเภอ คิดเป็นร้อยละ71.64  ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นเชิงประจักษ์ได้ว่าอุบัติเหตุตายเป็นศูนย์ สามารถทำได้ถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง
          สุดท้าย ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวขอบคุณมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ที่ได้จัดทำโครงการ ปีใหม่ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์ตลอดจนภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันทำให้เทศกาลปีใหม่ 2559 เป็นเทศกาลแห่งความสุขและความปลอดภัย พร้อมทั้งชื่นชมและแสดงความยินดีกับผู้ว่าราชการจังหวัด     ที่ได้รับโล่เกียรติยศเชิดชูเกียรติที่สามารถลดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตลงได้ และขอให้ทุกคนได้ร่วมกันรักษามาตรฐานนี้ไว้และร่วมกันป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้น จริงจัง และต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้วาระ ประเทศไทยปลอดภัย” (Safety Thailand)  



แถลงข่าว การจัดกิจกรรม “ดรุณา-นารี มินิฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 11”

 เมื่อ 19 ม.ค. 59 นางสาวจิตรา พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานการแถลงข่าว ดรุณา-นารี มินิฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 11” ณ ห้องประชุมโรงเรียนดรุณานุเคราะห์ อำเภอบางคนที โดยสมาคมศิษย์เก่าดรุณา – นารี จัดกิจกรรมขึ้นเพื่อหารายได้นำมาเป็นทุนการศึกษาแก่ศิษย์ปัจจุบันที่ขาดแคลน หาอุปกรณ์ทางการศึกษาให้โรงเรียนและเป็นกองทุนสำหรับครูที่เกษียณอายุงานหรือเจ็บป่วย ซึ่งการจัดกิจกรรมดรุณา-นารี มินิฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 11” กำหนดขึ้น ระหว่างวันที่ 30 - 31 มกราคม 255โดยวันที่เสาร์ที่ 30 มกราคม 2559 มีการแข่งขันเปตอง และในวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2559 เป็นกิจกรรม เดิน – วิ่ง โดยใช้ชื่อ ดรุณา-นารี มินิฮาล์ฟมาราธอน” มีกิจกรรม เดินการกุศล ระยะทาง กม. วิ่งมินิมาราธอน ระยะทาง 10.5 กม. วิ่งฮาล์ฟมาราธอน ระยะทาง 21.1 กม. นอกจากนี้ในปีนี้จัดให้มีการปั่นจักรยาน ระยะ 60 กม. เป็นการปั่นลัดเลาะไปตามถนนในสวน ผ่านสวนผลไม้ต่าง ๆ ของชาวบ้าน นักปั่นและนักวิ่งจะได้ชื่นชมธรรมชาติสวนที่ร่มรื่น อากาศที่บริสุทธิ์ 
จังหวัดสมุทรสงครามจึงขอเชิญชวนนักวิ่งทุกท่านมาร่วมแข่งขันวิ่ง และผู้ที่รักสุขภาพมาร่วมออกกำลังกายด้วยการเดิน รวมถึงนักกีฬาเปตองทุกท่าน ซึ่งนอกจากจะได้สุขภาพที่ดีแล้ว ยังมีส่วนสนับสนุนกิจกรรมกุศลต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษาของเด็กนักเรียนที่ขาดแคลน และการกุศลอื่น ๆ ในจังหวัดสมุทรสงคราม




พัฒนาความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรสงครามจัดงานวันคนพิการ สังคมบูรณาการด้านการเข้าถึง ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

เมื่อ 19 ม.ค. 59 นายอำพล อังคภากรณ์กุล  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม  เป็นประธานเปิดงานวันคนพิการ ณ หอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยมีนางชื่นจิตร คุปต์กาญจนากุล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด รายงาน เพื่อให้คนพิการได้ร่วมกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลและมาตรการแนวทางของรัฐบาลในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ และส่งเสริมความเป็นธรรม  เสมอภาค เท่าเทียมกับคนทั่วไป โดยมีผู้พิการ ผู้ดูแลคนพิการ เข้าร่วมงานกว่า 300 คน พร้อมทั้งมีกิจกรรมการเสดงของนักเรียนจากนักเรียนโรงเรียนธรรมมิกวิทยา จังหวัดเพชรบุรี ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด และการแสดงนิทรรศการ การออกร้าน การมอบของรางวัลมากมายให้กับคนพิการที่เข้าร่วมงาน
ทั้งนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม  ได้กล่าวกับ ผู้พิการว่า  ปัจจุบันมีผู้พิการที่ประสบความสำเร็จ เช่น แฟรงคลิน เดลาโน โรสเวลท์ ประธานธิบดีสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด นายประวัติ วะโฮรัมย์ นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จด้วยหัวใจที่พร้อมและมุ่งมั่น คุณเอกชัย วรรณแก้ว มนุษย์เพนกวินไร้แขนที่ต่อสู้จนประสบความสำเร็จจากการวาดภาพได้อย่างน่าภาคภูมิใจ  พร้อมขอให้คนที่กำลังท้อแท้ลุกขึ้นมาสู่กับปัญหา สลัดทิ้งศัตรูตัวร้ายคือความกลัวออกไป  ให้ความกล้าเข้ามาอยู่ข้างหน้าแล้วมาก้าวเดินไปพร้อมกันแล้วเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต









ตำรวจเมืองแม่กลองฝึกอบรมเทคนิคการตรวจหนังสือเดินทาง ทะเบียนรถ และใบขับขี่ระหว่างประเทศ

เมื่อ 19 ม.ค. 59 ที่ห้องประชุมสมุทรสามัคคี องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ใจชาญสุขกิจ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานเปิดการอบรมกล่าวให้โอวาทแก่ข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมการอบรมเทคนิคการตรวจหนังสือเดินทาง ทะเบียนรถ และใบขับขี่ระหว่างประเทศ กว่า 140 คน
          ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม ได้จัดโรงการฝึกอบรมเทคนิคการตรวจหนังสือเดินทาง ทะเบียนรถ และใบขับขี่ระหว่างประเทศ ในวันที่ 19 มกราคม 2559 แก่ข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร และประทวน ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันและปราบปราม ด้านการจราจร ด้านการสืบสวนและสอบสวน จำนวน 140 คน เพื่อเป็นการเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการตรวจหนังสือเดินทางทะเบียนรถ และใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ เป็นการสกัดกั้นขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง ทะเบียนรถ และใบขับขี่ระหว่างประเทศอันเป็นการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติในเขตพื้นที่ รวมถึงเป็นการป้องกันปัญหาความมั่นคงในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อีกด้วย








จัดหางานจังหวัดสมุทรสงคราม ให้ความรู้ด้านการจัดระบบแรงงานต่างด้าวกับนายจ้างและเจ้าของสถานประกอบการในพื้นที่

 เมื่อ  19 ม.ค.59 นางสาวจิตรา พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานเปิดการประชุมนายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบการ ณ ห้องประชุมโรงแรมโคโค่วิว อำเภอเมือง โดยมีนางอัธยา อ่ำหนองโพ จัดหางานจังหวัดฯ  กล่าวรายงานการจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้นายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบการ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายการจัดระบบแรงงานต่างด้าวของกรมการจัดหางานในปี 2559 และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และพ.ร.บ.การพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว กัมพูชา ของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งมีวิทยากรจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสมุทรสาคร ,สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรสงคราม

ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ได้มีการมอบนโยบายการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว เช่น นโยบายการจัดระบบแรงงานต่างด้าวตามนโยบายรัฐบาลการตรวจสัญชาติแรงงานต่างด้าว การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าย และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แก่นายจ้าง, เจ้าของสถานประกอบการที่เข้ารับการประชุม จำนวน 100 คน