pearleus

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

จังหวัดนครปฐมระดมทุกภาคส่วนจัดทำแผนการป้องและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในระยะยาว

เมื่อ 29 เมษายน 2559 ที่ห้องประชุมโรงแรมเวล อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ดร.พัลลภ สิงหเสนี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ระยะ 5 ปี โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม จัดขึ้น เพื่อให้มีการขับเคลื่อนงานจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการดำเนินตามยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น โดยนางสาวชวนชม จันทะวงษ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า ปัจจุบันวิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งขาดการดูแล ในขณะที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงสื่อได้ทุกรูปแบบ อีกทั้งขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศอย่างเหมาะสม และขาดทักษะในการควบคุมอารมณ์ทางเพศ ทำให้เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมทางเพศเร็วขึ้น ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และปัญหาอื่นๆ เช่น เด็กแรกเกิดมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ การทำแท้ง การขาดโอกาสทางการศึกษา และเด็กถูกทอดทิ้ง จากรายงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม พบว่าในปี 2557 มีอัตราการคลอดบุตรของหญิงอายุ 15 19 ปี จำนวน 1,466 คน คิดเป็นร้อยละ 21.55 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีการบรรยายให้ความรู้ เรื่องสถานการณ์ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของจังหวัดนครปฐม โดยวิทยากรจากสำนักงานสาธารณสุข อีกทั้งการอภิปรายในหัวข้อ ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยผู้แทนจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 , สำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น , บ้านพักเด็กและครอบครัว และสภาเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ยังมีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นในหัวข้อ ทบทวนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม และทิศทางการดำเนินงานในอนาคต โดยมีหน่วยงานภาคีเครือข่าย แกนนำเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก












มหาดไทยครั้งที่ 95 มอบนโยบายประชารัฐ‏

คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) จัดประชุมมอบนโยบายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน ประชาชน และภาคประชาสังคมทั้ง 76 จังหวัด เร่งเดินหน้าสานพลังประชารัฐ สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
      เมื่อ 29 เม.ย. 59 ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) ซึ่งมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน ได้จัดให้มีการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานสานพลังประชารัฐ เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐระดับพื้นที่ และชี้แจงแนวทางการดำเนินงานวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) “บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีประเทศไทย จำกัดและ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี...(จังหวัด) จำกัดให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะ 76 จังหวัด ผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน ที่เข้าร่วมประชุมฯ จำนวนกว่า 600 คน โดยมีกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ 
     - เวลา 08.09 น. พิธีลงนามจัดตั้ง บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี...(จังหวัด) จำกัดของจังหวัดเพชรบุรี อุดรธานี เชียงใหม่ และจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี ร่วมเป็นสักขีพยาน 
     -  เวลา 09.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงตึกสันติไมตรี เพื่อร่วมกิจกรรม โดยในช่วงแรก จะรับชม VDO Presentation การขับเคลื่อนพลังประชารัฐเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) จากนั้นจะมีพิธีลงนามการจัดตั้ง บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีประเทศไทย จำกัดโดยผู้ประกอบการภาคเอกชนส่วนกลาง ตัวแทนภาคประชาชน ภาคประชาสังคม โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี  พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน 
     ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินการสานพลังประชารัฐ เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากระดับพื้นที่ แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จังหวัดเชียงใหม่ บุรีรัมย์ ภูเก็ต อุดรธานี และจังหวัดเพชรบุรี 
    - เวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ
    - เวลา 11.15 น. พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการประสานและการขับเคลื่อนนโยบายพลังประชารัฐ และมอบแนวทางการทำงานสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยเน้นย้ำถึงการนำแนวคิดเรื่องวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) มาสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศด้วยกลไกประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลพยายามส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงในเรื่องของ ห่วงโซ่อุปทานทั้งภายใน และภายนอกประเทศในเวลาเดียวกัน โดยการดำเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในประเทศจะมุ่งเน้น การระเบิดจากข้างในเริ่มจากประชาชน เริ่มจากเกษตรกร ไปเป็นกลุ่ม ไปเป็นสหกรณ์ วันนี้รัฐบาลได้สนับสนุนการจัดตั้งกิจการที่เป็นประโยชน์แก่คนในชุมชน หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) เพื่อผลิตสินค้า หรือให้บริการ ส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่น โดยไม่ได้วางเป้าหมายเพื่อสร้างกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องช่วยแก้ไขปัญหา พัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อมของตนเองด้วย โดยใช้งบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรตามโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองมาเสริมกัน สร้างความเข้มแข็งด้วยเงินที่เรามีอยู่และใช้อย่างพอเพียง ขณะนี้หลายชุมชนได้นำงบประมาณที่ได้รับไปสร้างร้านค้าชุมชน โรงสีชุมชน ลานตากมัน ปั๊มน้ำมัน หรืออื่นๆ โดยชุมชนร่วมเป็นเจ้าของร่วมกัน มีการบริหารจัดการกันเอง ทำให้เกิดกำไร และหมุนเวียนรายได้ มีการนำไปลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกิจการ เกษตรกรสามารถนำผลผลิตไปแปรรูป สร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นพื้นฐาน ของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
 และในอนาคตวิสาหกิจเพื่อสังคมในแต่ละพื้นที่เหล่านี้ จะต้องรวมกลุ่มกันให้ได้ทั้งเรื่องของการแลกเปลี่ยนความรู้ การใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งร่วมกัน โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน คอยให้การสนับสนุนตามแนวทางประชารัฐอย่างยั่งยืนต่อไป
    ด้านนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ในหัวข้อ การอำนวยการและประสานพลังประชารัฐส่วนกลาง และจังหวัด" เน้นถึงบทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะเป็นผู้ประสานและขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ โดยมีคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ เป็นแกนหลัก ในการผนึกกำลังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน มุ่งสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชนตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทาง ใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ด้านการเกษตร 2. ด้านการแปรรูป SME/OTOP และ 3. ด้านการท่องเที่ยวชุมชน 
   และเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามเป้าหมายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม จึงได้มีการกำหนดให้มีคณะทำงานต่างๆ ขึ้น ดังนี้ 
   1) คณะทำงานขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐส่วนกลาง มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน
 2) คณะทำงานขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐจังหวัดและอำเภอ ประกอบด้วย ภาครัฐภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
 ผู้บริหารสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกระดับ ได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอเป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ ทำหน้าที่บูรณาการความร่วมมือในพื้นที่ มีบทบาทหน้าที่โดยรวม คือ การแปลงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปสู่การปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม จัดทำแผนการขับเคลื่อนงาน ติดตามประเมินผล ประชาสัมพันธ์ผลการทำงาน และรายงานผลการขับเคลื่อนงานให้คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) ทราบ และเน้นย้ำให้เร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงาน กับ คณะทำงานระดับจังหวัดและอำเภอที่ต้องมีความเข้าใจที่ตรงกัน

   สำหรับในช่วงบ่ายจะเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ โดยคณะทำงานเศรษฐกิจฐานรากฯ C asean และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เพื่อกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม    และช่วงสุดท้ายเวลา 16.30 น. จะเป็นการสรุปและมอบภารกิจการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ 

นครปฐมระดมทุกภาคส่วนจัดทำแผนการป้องและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในระยะยาว

เมื่อ 29 เมษายน 2559 ที่ห้องประชุมโรงแรมเวล อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ดร.พัลลภ สิงหเสนี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ระยะ 5 ปี โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม จัดขึ้น เพื่อให้มีการขับเคลื่อนงานจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการดำเนินตามยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น โดยนางสาวชวนชม จันทะวงษ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า ปัจจุบันวิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งขาดการดูแล ในขณะที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงสื่อได้ทุกรูปแบบ อีกทั้งขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศอย่างเหมาะสม และขาดทักษะในการควบคุมอารมณ์ทางเพศ ทำให้เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมทางเพศเร็วขึ้น ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และปัญหาอื่นๆ เช่น เด็กแรกเกิดมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ การทำแท้ง การขาดโอกาสทางการศึกษา และเด็กถูกทอดทิ้ง จากรายงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม พบว่าในปี 2557 มีอัตราการคลอดบุตรของหญิงอายุ 15 19 ปี จำนวน 1,466 คน คิดเป็นร้อยละ 21.55 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีการบรรยายให้ความรู้ เรื่องสถานการณ์ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของจังหวัดนครปฐม โดยวิทยากรจากสำนักงานสาธารณสุข อีกทั้งการอภิปรายในหัวข้อ ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยผู้แทนจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 , สำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น , บ้านพักเด็กและครอบครัว และสภาเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ยังมีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นในหัวข้อ ทบทวนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม และทิศทางการดำเนินงานในอนาคต โดยมีหน่วยงานภาคีเครือข่าย แกนนำเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก












วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

ปส.2จับเครือข่ายยาเสพติด 2 รายขยายผลปั้มบางจาก

 

เมื่อ 28 เม.ย. 59 เวลาประมาณ 11.30 น.ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ชมชวิณ  ปุระธนานนท์ผกก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.ท.นนท์  ภักดีพันธ์  รอง ผกก.สส.ฯ สั่งการให้ พ.ต.ต.ไชยภูมิ  ฉลองภูมิ  สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร/เจ้าพนักงาน ปปส. หมายเลขประจำตัว 532405 ร.ต.อ.ธานินทร์  นุชเจริญ รอง สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. หมายเลขประจำตัว  563177 ร.ต.ต.ณรงค์  หอมเย็น ร.ต.ต.โชติ  แสนชัย  ร.ต.ต.วินัย   พวงทองคำ ร.ต.ต.อรัณย์  ทาเกตุ ด.ต.ณัฐนนท์  เติมยศ ด.ต.สันติ  เรืองฤทธิ์  ด.ต.ธนเดช  โพธิ์งามและ ด.ต.นที   บุญทาน   
 ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายวิโรจน์ หรือเบ๊นซ์  ปุจฉาการ อายุ 28 ปี  ที่อยู่บ้านเลขที่ 142 หมู่ 7 ต.ศรีสุราษฏร์ อ.ดำเนิน จ.ราชบุรี  หมายเลขประจำตัว 1 - 7004 - 00123 - 37 – 3
 พร้อมของกลาง
"ยาไอซ์ จำนวน 1.5 กรัม "
โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภทที่1 (ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย"

โดยจับกุมได้ที่บริเวณภายในปั๊มน้ำมันบางจาก หมู่ ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร (ค้นพบเจอที่ตัว 0.3 กรัม) และที่บริเวณภายในห้องเช่าไม่ทราบชื่อ หมู่ ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นห้องเช่าที่ผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ (ค้นพบยาไอซ์ เพิ่มเติม 1.2 กรัม) จากการสอบถามผู้ต้องหารับยาไอซ์มาจากนายเกมส์  ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง  พักอาศัยอยู่ที่ กทม.  ซึ่งไม่สามารถขยายผลต่อได้ เนื่องจากนายเกมส์   รู้ตัว ปิดเครื่อง  หลังจากนั้นนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่ง พงส.สภ.โคกขาม เพื่อดำเนินคดีต่อไป
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเดิมได้ร่วมกันวางแผนโดยใช้วิธีล่อซื้อให้นำยาเสพติดเข้ามาส่งภายในปั้มน้ำมันเพื่อสะดวกต่อการปิดล้อจับกุมนัดกันเมื่อเวลา 11.50 น.วันเดียวกันสามารถจับ
 จับกุมตัว นายสันติ  หรือตู่  รุ่งเจริญศรีชัย   อายุ 35  ปี   อยู่บ้านเลขที่  42/123  หมู่ 4  ต.โคกขาม  อ.เมือง   จ.สมุทรสาคร  หมายเลขประจำตัว 3- 7401  - 00230  -25  - 1เครือข่ายทำหน้าที่ปล่อยยาให้กับลูกค้า
 พร้อมของกลาง
"ยาไอซ์ จำนวน 21 กรัมและยาบ้า จำนวน 60 เม็ด "
โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภทที่1 (ยาไอซ์และยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย"
โดยจับกุมได้ที่บริเวณภายในปั๊มน้ำมันบางจาก    หมู่ 4   ต.โคกขาม   อ.เมือง   จ.สมุทรสาคร (ค้นพบเจอที่ตัว 1 กรัม) และที่ภายในห้องเช่ามั่งมีศรีสุข ห้องเลขที่ 104    ต.มหาชัย   อ.เมือง  จ.สมุทรสาคร   ซึ่งเป็นห้องเช่าที่ผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ (ค้นพบยาไอซ์ เพิ่มเติม 20 กรัมและยาบ้าจำนวน 60 เม็ด) จากการสอบถามผู้ต้องหารับยาไอซ์มาจากผู้หญิง  ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง  พักอาศัยอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งไม่สามารถขยายผลต่อได้ เนื่องจากไม่รู้จักตัวผู้ผญิงดังกล่าว และจะวางของ  หลังจากนั้นนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่ง พงส.สภ.โคกขาม เพื่อดำเนินคดี.

  เงาพญาราหู รายงาน

มหาดไทยสั่งจังหวัดกำชับทุกหน่วย เพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยแหล่งน้ำในพื้นที่ เพื่อป้องกันเด็กจมน้ำ พร้อมเร่งสร้างทีมเครือข่ายผู้ก่อการดี ตำบลละ 1 ทีม

เมื่อ 28 เม.ย. 59 ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รับการประสานจากกรมควบคุมโรค ว่าปัจจุบันพบว่าการจมน้ำเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งมากกว่าโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อ โดยพบว่าในทุกๆ 8 ชั่วโมง จะมีเด็กจมน้ำเสียชีวิต 1 คน และจากสถิติข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปีพ.ศ.2549-2558) มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้วกว่า 10,923 คน โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุดเกือบ 400 คน และแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น บ่อขุดเพื่อการเกษตร เป็นสถานที่ที่เด็กจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุด ซึ่งจากมูลเหตุดังกล่าว ฯพณฯนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยในเรื่องการจมน้ำเสียชีวิตของเด็ก และได้เน้นย้ำเรื่องการแจ้งเตือน การทำเครื่องหมาย และการทำที่กั้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของแหล่งน้ำในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ
           กระทรวงมหาดไทย จึงได้สั่งการให้จังหวัดทุกจังหวัด แจ้งให้อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชน/หมู่บ้านทุกพื้นที่ ดำเนินการตามแนวทางและมาตรการในการป้องกันเด็กจมน้ำ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสีย ดังนี้ 1.แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร/แหล่งน้ำชุมชน ให้มีการสร้างรั้ว ติดป้ายคำเตือน ป้ายบอกระดับความลึกของน้ำ พร้อมมีอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ชูชีพ หรือแกลลอนพลาสติกเปล่าผูกเชือก ไม้ และนกหวีดหรือระฆัง สำหรับใช้ขอความช่วยเหลือไว้ที่บริเวณแหล่งน้ำ 
2.แหล่งน้ำที่จัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือสระว่ายน้ำ
 ต้องมีเจ้าหน้าที่ (Lifeguard) คอยดูแล มีเสื้อชูชีพให้บริการ และมีกฎระเบียบให้ผู้มารับบริการต้องสวมเสื้อชูชีพทุกครั้งที่เดินทางหรือทำกิจกรรมทางน้ำ และห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีการแบ่งเขตพื้นที่สำหรับเล่นน้ำหรือทำกิจกรรมทางน้ำ มีอุปกรณ์ช่วยเหลือคนตกน้ำติดตั้งไว้เป็นระยะ และสามารถเข้าถึงได้ง่าย รวมทั้งต้องมีป้ายแจ้งเตือนและป้ายบอกระดับความลึกของน้ำด้วย 3.ให้มีการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนในชุมชนทราบถึงอันตรายและวิธีการป้องกันการจมน้ำ สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ให้ใช้คอกกั้นเด็ก หรือกำหนดพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยให้แก่เด็ก (Playpen) 4.ให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีการจัดการแหล่งน้ำเสี่ยงในห้องน้ำ และแหล่งน้ำโดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กสามารถเข้าถึงได้ 5.ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานภาคการศึกษา สนับสนุนให้เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป ได้เรียนว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด และรู้วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง และ 6.ให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่มีการบูรณาการสร้างทีมเครือข่ายผู้ก่อการดี (Merit Maker) ในลักษณะการรวมตัวของกลุ่มคนหรือหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ เอกชน จิตอาสา หรือประชาชนทั่วไป เพื่อรวมกันดำเนินงานป้องกันการจมน้ำตามบทบาทภารกิจของหน่วย ในรูปแบบสหสาขา และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ อย่างน้อยตำบลละ 1 ทีม

           โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันการจมน้ำของเด็ก ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อวางมาตรการหรือวิธีป้องกัน โดยหน่วยงานในพื้นที่สามารถพิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติมตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ทั้งในระดับชุมชนหรือระดับครอบครัว รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อม และซักซ้อมแนวทางปฏิบัติเพื่อให้การป้องกันและช่วยเหลือมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียชีวิตจากการจมน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังของชาติต่อไป

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

สืบโคกขามจับครบเครื่องขยายได้ยาบ้า ไอซ์แถมปืน

เมื่อ 27 เม.ย. 2559 เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน ภายใต้คำสั่งของ พ.ต.อ.สุรชัย สุกใส ผกก.สภ.โคกขาม,พ.ต.ท.กิตติพงษ์ พงษ์พานิช รอง ผกก.สสฯ  พ.ต.ท.วีรชาติ สงวนเกียรติ รอง ผกก.ปฯ สั่งการให้ พ.ต.ท.ทินกร รังรื่น สว.สสฯ พร้อมชุด 40 ได้ร่วมกันจับกุมตัว
นายพายุ เผื่อนสัจจา อายุ 18 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า 16 เม็ด
โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยกฎหมาย" เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่ายาบ้าดังกล่าวตนรับมาจากนายแก้ว ซึ่งเป็นญาติของตน ซึ่งตนมีหน้าที่นำยาบ้ามากระจายให้กับลูกค้านายแก้ว จากนั้นจึงได้ทำการขยายผล สามารถจับกุม
นายชัยวัฒน์ หรือแก้ว เผื่อนสัจจา อายุ 32 ปี พร้อมของกลาง
1.ยาบ้า จำนวน 148 เม็ด
2.ยาไอซ์ จำนวน 9.2 กรัม
3.อาวุธปืนพกสั้น รีวอลเวอร์ ขนาด.22 จำนวน 1 กระบอก
4.กระสุนปืน จำนวน 6 นัด
โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้า,ยาไอซ์)ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายและมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต"ในพื้นที่หมู่ 5 ต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมืองสมุทรสาคร เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับว่ายาบ้า ยาไอซ์จำนวนดังกล่าวสั่งซื้อมาจากนายเอ๋ ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้รวบรวมข้อมูลไว้เพื่อดำเนินการ
นำส่งพงส.สภ.โคกขาม ดำเนินคดีต่อไป.

  เงาพญาราหู รายงาน



องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลนางตะเคียน และวัดบางปืน ขอเชิญร่วมงานสืบสานวัฒนธรรม “ไทยทรงดำ”

นายสมจิต  จริยประเสริฐสิน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลนางตะเคียน เปิดเผยว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลนางตะเคียน และวัดบางปืน (วัดบังปืน) กำหนดจัดโครงการสืบสานวัฒนธรรมไทยทรงดำ ประจำปี 2559 เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันเก่าแก่ ที่ยึดหลักแห่งความพอเพียงในด้านความเป็นอยู่ การแต่งกาย ภาษา และประเพณีต่างๆ ณ วัดบางปืน หมู่ที่ 6 ต.นางตะเคียน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2559 – วันที่ 1 พฤษภาคม 2559

วันที่ 30 เมษายน 2559
เวลา 17.19 น.      - พระสงฆ์ทรงสมณะศักดิ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์เย็น
                                เจริญพระพุทธมนต์ สวด ธัมมะจักกัปปะวัตะนะสูตร
เวลา 19.00 น.      - การแสดงสืบสานลูกทุ่งไทย
                                - ปิดทองพระศรีศากยมุนีพุทธโคดม (พระใหญ่)
วันที่ 1 พฤษภาคม 2559
เวลา 19.39 น.      - พิธีเปิดงานโรงการสืบสานวัฒนธรรมไทยทรงดำ
                                - กล่าวต้อนรับคณะไทยทรงดำจากจังหวัดต่างๆ โดย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม
                                - กล่าวรายงานโดย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลนางตะเคียน
                                - เปิดโครงการโดยผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม
                                - การละเล่นต่างๆ ของชาวไทยทรงดำ
                                - รำวงย้อนยุค
                จึงขอเรียนเชิญประชาชน ร่วมเที่ยวชมงานสืบสานวัฒนธรรมไทยทรงดำ ประจำปี 2559 ได้ในวันเวลา และสถานที่ดังกล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลนางตะเคียน โทรศัพท์ 0-3477-0601



ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.youtube.com/watch?v=JgTfRE-ix4A

มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการสนับสนุนเผยแพร่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนได้รับทราบพร้อมตั้งศูนย์สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ฯ ในระดับจังหวัดและอำเภอ

          เมื่อ 27 เม.ย. 59 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายให้สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ เพื่อชี้แจง   ทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบัญญัติและสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนได้รับทราบเป็นการทั่วไป      ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ    และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วย สนับสนุน ให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือแก่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวและตามที่ได้รับร้องขอ
          เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและให้การสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งให้ทุกจังหวัดเตรียมการ จัดตั้งศูนย์สนับสนุนการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ในระดับจังหวัด และระดับอำเภอ เพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบัญญัติและสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ สนับสนุนการทำงานตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญร้องขอ และให้เตรียมการคัดเลือกวิทยากร (ครู ก.) ระดับจังหวัดๆ ละ จำนวน 5 คน เพื่อเข้ารับการฝึกอบรม สร้างความรู้ ความเข้าใจอย่างเข้มข้น เพื่อให้สามารถนำไปถ่ายทอดและจัดฝึกอบรมวิทยากร (ครู ข.) ระดับอำเภอ และวิทยากรระดับพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการคัดเลือกวิทยากร (ครู ก.) ระดับจังหวัดให้คัดเลือกจากหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด หรือข้าราชการที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีความพร้อม มีความรู้ ความสามารถ และมีความรับผิดชอบ สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายตามกรอบแนวทางที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญกำหนด โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1.ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือปลัดจังหวัด 2. ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ หรือผู้แทน 3. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หรือผู้แทน 4. ศึกษาธิการจังหวัด หรือผู้แทน 5. หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด หรือข้าราชการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นสมควร
          โดยจะมีการจัดอบรมวิทยากร (ครู ก.) ระดับจังหวัด ระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤษภาคม 2559 อบรมวิทยากรระดับอำเภอ (ครู ข.) จำนวน 878 อำเภอๆ ละ 10 คน รวม 8,780 คน ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 10 มิถุนายน 2559 และอบรมวิทยากรระดับหมู่บ้าน/ชุมชน 80,491 แห่งๆ ละ 4 คน รวม 321,964 คน ระหว่างวันที่ 11 – 30 มิถุนายน 2559 จากนั้นวิทยากรทุกระดับจะร่วมกันลงพื้นที่เผยแพร่และประชาสัมพันธ์เนื้อหาสาระสำคัญของ ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิดในระหว่างวันที่ 1 - 20 กรกฎาคม 2559

          ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดเตรียมการสนับสนุน  กระบวนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เนื้อหาสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญในทุกๆด้าน โดยให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการ  ของ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ให้ความสำคัญตั้งแต่การคัดเลือกวิทยากรที่จะลงไปในแต่ละจังหวัด ซึ่งจะเป็นผู้ที่ลงไปขยายความรู้ต่อไปในระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จึงต้องเป็นผู้ที่รู้เนื้อหาอย่างละเอียดมีความเป็นกลางในการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงเนื้อหาสาระสำคัญอย่างถูกต้องและกว้างขวางมากที่สุด

เกษตรสมุทรสาคร มอบเช็ดเงินสดช่วยภัยแล้ง

นายเศรณี  อนิลบล  เกษตรจังหวัดสมุทรสาคร  ได้เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  พ.ศ.2559 ให้จังหวัดสมุทรสาครเพื่อดำเนินการโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี 2558/59 ระยะที่ 2 ครั้งที่ 2 รอบที่  3  กรณีโครงการพืชและเกษตรอื่นๆ  โดยจัดสรรงบประมาณผ่านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล (ศบกต.) จำนวน 5 โครงการฯงบประมาณ 1,111,026  บาท(หนึ่งล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันยี่สิบหกบาทถ้วน) และให้สำนักงานเกษตรจังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด  และสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ในการดำเนินโครงการดังกล่าว
 สำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทรสาคร ได้กำหนดจัดกิจกรรมการมอบเช็คเงินสดผ่านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล (ศบกต.) เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่กลุ่มและองค์กรเกษตรในตำบลที่ขอรับการสนับสนุนโครงการ ได้แก่
 -ศบกต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน : โครงการขุดลอกคลองเพื่อการเกษตร งบประมาณ 39,000 บาท
 - ศบกต.คลองตัน อ.บ้านแพ้ว : โครงการอบรมส่งเสริมการปลูกผักด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ งบประมาณ 198,100  บาท
 - ศบกต.หลักสอง อ.บ้านแพ้ว : โครงการผลิตดินและปุ๋ยจากผักตบชวาเพื่อจำหน่าย งบประมาณ 395,700 บาท
 - ศบกต.อำแพง อ.บ้านแพ้ว  : โครงการเพาะเห็ดนางฟ้าและเห็ดภูฐาน งบประมาณ 478,226 บาท กำหนดจัดกิจกรรม ในวันที่  22 เมษายน  2559 เวลา 10.00 น. ณ องค์การบริหารส่วนตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร

 เกษตรจังหวัดสมุทรสาคร  ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการดำเนินโครงการดังกล่าวฯ จะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ  สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงที่เกิดภาวะภัยแล้ง  ให้สามารถประกอบอาชีพได้ อันจะบรรเทาความเดือดร้อนในระดับหนึ่ง  จึงขอให้กลุ่มและองค์กรเกษตรกรในตำบลที่ขอรับการสนับสนุนโครงการฯปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวัตถุประสงค์ของโครงการฯอย่างเคร่งครัด  และขอให้กลุ่มฯดำเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม  2559 หากมีข้อสงสัยสมารถสอบภามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทรสาคร โทร/โทรสาร. 034-426995 หรือ สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน

เกษตรเมืองมหาชัยเตือนระวังปุ๋ยและสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชปลอม

นายเศรณี อนิลบล เกษตรจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่าปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของปุ๋ยและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชปลอม โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีพ่อค้าเร่ขับรถตระเวนขายปุ๋ยที่มีราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เกษตรกรเมื่อซื้อปุ๋ยไปแล้วจะไม่สามารถทราบทันทีว่าเป็นปุ๋ยปลอมเมื่อหว่านลงในแปลงปลูกพืช จะรู้อีกทีก็ต่อเมื่อผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับน้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้มีเกษตรกรตกเป็นผู้เสียหายหลายราย
                นายเศรณี กล่าวต่ออีกว่า สำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทรสาครจึงขอแจ้งเตือนเกษตรกรต้องสังเกตและตรวจสอบการซื้อปุ๋ยต่อไปนี้ ได้แก่ กระสอบปุ๋ยต้องเป็นกระสอบใหม่ ไม่มีรอยฉีกขาดหรือเย็บใหม่ ไม่ควรซื้อปุ๋ยจากพ่อค้าเร่ ควรซื้อจากผู้ขายที่มีใบอนุญาตขายปุ๋ยและเชื่อถือได้ ควรขอเอกสารกำกับปุ๋ย และใบเสร็จรับเงินจากผู้ขายทุกครั้ง เลือกซื้อปุ๋ยให้เหมาะสมกับดินและพืช ต้องมีฉลากชัดเจนและมีรายละเอียดประเภทของปุ๋ยที่กระสอบ เช่น ปุ๋ยเคมีมาตรฐาน ปุ๋ยอินทรีย์เคมี ปุ๋ยอินทรีย์ หรือ ปุ๋ยชีวภาพ ถ้าเป็นปุ๋ยเคมี ต้องแสดงปริมาณธาตุอาหารรับรอง (ไนโตรเจนทั้งหมด ฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์ และโพแทสเซียมที่ละลายน้ำ) ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม (ถ้ามี) และแสดงทะเบียนปุ๋ยเคมีเลขที่ XXXX/255X (กรมวิชาการเกษตร) ถ้าเป็นปุ๋ยชีวภาพ ต้องแสดงชื่อวิทยาศาสตร์ของจุลินทรีย์, ปริมาณรับรอง และแสดงทะเบียนปุ๋ยชีวภาพเลขที่ XXXX/255X (กรมวิชาการเกษตร) ถ้าเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ต้องแสดงปริมาณอินทรียวัตถุรับรอง และแสดงทะเบียนปุ๋ยอินทรีย์เลขที่ XXXX/255X (กรมวิชาการเกษตร) ต้องแสดงชื่อและสถานที่ทำการของผู้นำเข้าหรือผู้ผลิตหรือสถานที่ผลิต ต้องระบุคำเตือนหรือข้อควรระวัง เช่น ควรคลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนใช้ เป็นต้น

                หากพบเบาะแสหรือมีเหตุให้สงสัยว่าผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาเป็นปุ๋ยปลอมและรวมถึงสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชปลอม สามารถแจ้งสำนักงานเกษตรจังหวัด โทร. 0 3442 6995 หรือสำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอใกล้บ้านท่าน

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

สืบจังหวัดล่อซื้อยาอีกรายหนีหมายจับ 4 ปีอนาจาร

เมื่อ 26 เม.ย. 59 เวลาประมาณ 15.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนปราบปรามยาเสพติดภายใต้การควบคุมของ พ.ต.อ.ชมชวิณ  ปุระธนานนท์ ผกก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร พ.ต.ท.นนท์  ภักดีพันธ์ รอง ผกก.สส.ฯ
สั่งการให้  พ.ต.ต.ไชยภูมิ  ฉลองภูมิ สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร/เจ้าพนักงาน ปปส. หมายเลขประจำตัว 532405 ร.ต.อ.ธานินทร์  นุชเจริญ รอง สว.กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. หมายเลขประจำตัว  563177 ร.ต.ต.ณรงค์  หอมเย็น,ร.ต.ต.โชติ  แสนชัย,ร.ต.ต.วินัย  พวงทองคำ,ร.ต.ต.อรัณย์  ทาเกตุ, ด.ต.ณัฐนนท์  เติมยศ, ด.ต.สันติ  เรืองฤทธิ์ ,ด.ต.ธนเดช  โพธิ์งามและ ด.ต.นที   บุญทาน ได้วางแผนด้วยการล่อซื้อจับกุมตัว นายสุขเกษม  (เสม) ชองขันปอน  อายุ 18  ปี   ที่อยู่ 90/3  หมู่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หมายเลขประจำตัว  1-7499 -00580-16-0
 พร้อมของกลาง
"ยาบ้า จำนวน 20  เม็ด และยาไอซ์ จำนวน 0.8 กรัม "
โดยกล่าวหาว่า "มียาเสพติดให้โทษประเภทที่1 (ยาบ้าและยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย"
โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าริมถนนเส้นทางครองครุ-ศรีเมือง ใกล้หมู่บ้านเอกทวีคูณ หมู่ 6  ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร(สายลับสั่งซื้อ 20 เม็ด) และคุมเข้าตรวจค้นที่บ้านพักบริเวณภายในห้องนอนเลขที่ 24/1 หมู่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร (ค้นพบยาไอซ์ เพิ่มเติม 0.8 กรัม) จากการสอบถามผู้ต้องหารับยาบ้าและยาไอซ์มาจากนายบูม ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง  พักอาศัยอยู่ที่ อ.กระทุ่มแบน  ซึ่งไม่สามารถขยายผลต่อได้ เนื่องจากนายบูม รู้ตัว ปิดเครื่อง  หลังจากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางบันทึกส่ง พงส.สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินคดีต่อไป.
อีกรายชุด อช.จว. จับหนุ่มใหญ่ หนีหมายศาลอนาจาร 4 ปี
เมื่อ 26 เม.ย. 59 เวลาประมาณ 14.30 น.ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ชมชวิณ  ปุระธนานนท์ ผกก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.ท.นนท์  ภักดีพันธ์  รอง ผกก.สส.ฯสั่งการให้ พ.ต.ท.พีระ อัศวพิบูลย์ผล สว.กก.สส.ฯ ร.ต.อ.พัชรพงษ์ กาญจนวัฏศรี ,ร.ต.อ.สงกรานต์ เชาว์ปรีชา รอง สว.กก.สสฯ ร.ต.ต.รังสันต์ พลายเพชร ,ด.ต.นคร อิ่มเอิบ ,ด.ต.ศฤงคาร ชุ่มจิตต์ ,ด.ต อนุสรณ์ วัฒนาเสรีกุล ,จ.ส.ต.เสนีย์ นวมทอง,ส.ต.อ.จิตวัฒน์ สุขพร้อม ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางโทรัด และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกำแพงเพชร
ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายบุญนำ  ทินปาน อายุ  27 ปีที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 67 ม.2 ต.ธำมรงค์   อ.เมือง    จ.กำแพงเพชร
โดยกล่าวหาว่า ข้อหา บุกรุกและอนาจารฯตามหมายจับของศาลจังหวัดกำแพงเพชร ที่ จ.271 / 2555 ลง วันที่  23 สิงหาคม   2555 โดยจับกุมได้ที่บริเวณ บริษัทรุ่งเรืองพรีคาสท์ แอนคอนสตรัคชั่น สมุทรสาคร
เลขที่ 59 ม.10 ต.บางโทรัด ต.บางโทรัด  อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังจากนั้นนำตัวผู้ ต้องหา ส่งพงส.สภ.เมืองกำแพงเพชรเพื่อดำเนินคดีต่อไป.

  เงาพญาราหู รายงาน

ปรากฏตัวแล้วสาวอุ้มลูกวัย 10 เดือนทิ้งในเทศบาลนคร‏

 ทิ้งใบแจ้งเกิดตามแกะรอยจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ไปอาศัยบ้านญาติที่จ.นครราชสีมา พบประวัติน่าสงสารเธอมีอาการป่วยทางอาการภาวะจิตเพทหรือบุคคลซึ่งอยู่ในกลุ่มเปราะบางการตัดสินใจไม่สม่ำเสมอ รับว่ารู้สึกผิดในสิ่งที่กระทำ นักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็กจังหวัดสมุทรสาคร นำไปพบกับลูกชายวัย 10 เดือนแล้ว..
               เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 26 เม.ย. 59 เจ้าหน้าที่กองสวัสดิการสังคมเทศบาลนคร สมุทรสาคร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและสวัสดิการ(ศูนย์ประชาบดี1300) ต.บางโทรัด อ.เมืองสมุทรสาคร นำนางกอหญ้า นามสมมุติ อายุ 27 ปี ชาว จ.พิษณุโลก หญิงสาวที่พบในกล้องวงจรปิดในห้องทะเบียนราษฎร์เทศบาลนครสมุทรสาคร หลังเปิดประตูอุ้มเด็กผู้ชายวัย 10 เดือน เดินเข้ามายืนอุ้มเด็กที่ในขณะนั้นมีชาวบ้านมารอรับบริการทำบัตรประชาชนและแจ้งเอกสารจำนวนมาก ก่อนที่วางเด็กแล้วเดินออกไปเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 59
               ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็ได้พบหลักฐานเอกสารใบรับรองแจ้งเกิดของโรงพยาบาล สมุทรสาคร จึงได้ทำการตรวจสอบเลขสิบสามหลักจากฐานข้อมูลทุเบียนราษฎร์ จึงทราบว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นใครอาศัยอยู่ที่ไหน จึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่งในจ.นครราชสีมา และพบนางกอหญ้าฯที่มาอาศัยอยู่กับญาตินำตัวเดินทางมาที่เทศบาลนครสมุทรสาคร โดยมีนายสุภาพ แซ่เฮ้ง นายกเทศมนตรี นายสาคร อิ่มพรรณไชยและ นายศักดิ์ชัย นิมิตรปัญญา รองนายก ได้สอบถามพูดคุยถึงสาเหตุที่นำลูกมาทิ้งกับแม่เด็กที่ยังสับสนตอบคำถามแบบภาวะจิตเหม่อลอยเธอเล่าว่าเคยถูกจับกุมในคดีที่ฟังแล้วน่าตกใจคือเธอเคยถูกจำคุกข้อหาลักทรัพย์รถยนต์เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯระหว่างที่เธอกำลังตั้งครรภ์และได้คลอดลูกเป็นบุตรชายเมื่อพ้นโทษได้มาขอใบรับรองแจ้งเกิดที่ รพ.สมุทรสาคร ส่วนสามีก็ไม่รับผิดชอบ โดยในวันที่เธออุ้มลูกมานั้นก็ตั้งใจจะมาแจ้งขอใบเกิด แต่ประกอบกับมีประชาชน
ในเขตเทศบาลมารับบริการจำนวนมากและอากาศภายนอกก็ร้อนทำให้ภาวะจิตสับสนไม่พร้อม
กังวนการเลี้ยงดูลูกจึงตัดสินใจทิ้งลูกไว้แล้วเดินออกมา หลังจากนั้นได้เดินทางไปอาศัยอยู่กับญาติดังกล่าว
                หลังจากนี้ทางนักสังคมสงเคราะห์ของบ้านพักเด็กจังหวัดสมุทรสาคร จะได้ประสาน
กับเจ้าหน้าที่ส่งมอบให้ทางพมจ.จังหวัดขอนแก่น มีพื้นที่อยู่ใกล้จังหวัดนครราชสีมารับเด็กไปดูแลเพื่อให้
ผู้เป็นแม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกเพื่อปรับสภาพเมื่อทุกอย่างพร้อมก็จะส่งมอบให้ลูกได้กลับไปสู่อ้อม
อกผู้เป็นแม่ต่อไป.

                                             เงาพญาราหู รายงาน







แถลงความคืบหน้าคดีรถเบนซ์ชนรถฟอร์ด

เมื่อ 26 เม.ย. 59 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ รอง ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ,พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รอง ผบก.ฯ/หน.คณะ พงส.(คดีรถเบนซ์ ชนรถฟอร์ด) ,คณะ พงส.ฯ และญาติของผู้เสียหาย(ผู้ตาย ทั้ง 2 คน) พร้อมทนายความ ได้ร่วมกันแถลงผลความคืบหน้าของคดีดังกล่าว ต่อคณะสื่อมวลชน ณ ห้องประชุมนันทโชติ ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา จากนั้น วันเดียวกัน(26 เม.ย.59) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.พงศพัศฯ พร้อมคณะ และญาติของผู้เสียหาย ได้เดินทางไปยังสำนักงานอัยการ ภาค1 เพื่อส่งมอบสำนวนคดีดังกล่าว ต่ออัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้อัยการทำการตรวจสำนวน แล้วจะได้ทำการดำเนินการตามกฎหมาย(สั่งฟ้อง/สั่งไม่ฟ้อง ต่อศาล จว.พระนครศรีอยุธยา ต่อไป


ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต 5 ลงพื้นที่สมุทรสงคราม ติดตามโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปี ของ ก.ธ.จ. และของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559

เมื่อ 26 เม.ย. 59 ที่ห้องประชุมบางคนที ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม นายวรพันธ์ เย็นทรัพย์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต 5 พร้อมด้วยคณะ เดินทางมาตรวจติดตาม โครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของ ก.ธ.จ.และของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559 โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและร่วมประชุมติดตาม แผนงาน/โครงการ ตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559

ส่วนในภาคบ่าย ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต 5 พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ ตรวจสอบโครงการปรับปรุง ถนนลาดยางแอสฟัลติกคอนกรีตสายหมู่ 7 เชื่อม หมู่ 8 ตำบลคลองเขิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม งบประมาณที่ได้รับการจัดสรร 3,447,500 บาท และโครงการปรับปรุงถนนลาดยางแอสฟัลติกคอนกรีตสายหมู่ที่ 1 บ้านคลองขุดเล็ก ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม งบประมาณที่ได้รับการจัดสรร 9,780,000 บาท เพื่อติดตามสอดส่องการดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการได้คัดเลือก จำนวน 2 โครงการ โดยแขวงทางหลวงชนบทสมุทรสงคราม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ พร้อมทั้งได้เชิญหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการดังกล่าวมาให้ข้อมูลผลการดำเนินโรงการ เพื่อให้กรรมการฯ ได้รับทราบและนำข้อมูลดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาในการปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่และหลักบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ต่อไป