pearleus

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ธ.ก.ส.จังหวัดสมุทรสาคร






ธ.ก.ส. พร้อมเดินหน้านโยบายรับจำนำข้าว
และพักชำระหนี้ต่ำกว่า 5 แสนให้เกษตรกร 3 ปี
                ธ.ก.ส. พร้อมควัก 90,000 ล้านบาท และกู้อีก 320,000 ล้านบาท เดินหน้านโยบายรับจำนำข้าวเปลือก และพักชำระหนี้ครัวเรือนที่มีหนี้ค้างต่ำกว่า 5 แสนบาท 3 ปี ควบคู่กับการฟื้นฟูอาชีพ พร้อมทั้งจัดทำประกันชีวิตวงเงิน 100,000 บาทให้กำลังใจลูกค้าชั้นดี
นายสุภชัย  งามสม ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลให้ ธ.ก.ส.ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ภายในวงเงิน 410,000 ล้านบาท นั้น ขณะนี้ ธ.ก.ส.
มีความพร้อมที่จะดำเนินโครงการโดยใช้เงินทุน ธ.ก.ส.สนับสนุนดำเนินงานตามโครงการไม่เกิน 90
,000 ล้านบาท และกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่างๆ ภายในวงเงิน 320,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลรับภาระทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
สำหรับกรอบแนวทางการดำเนินโครงการ กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกแต่ละชนิด ณ ความชื้น 15% ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิ (42 กรัม) ตันละ 20,000 บาท ข้าวเปลือกหอมจังหวัด (40 กรัม) ตันละ 18,000 บาท ข้าวเปลือกปทุมธานีและข้าวเหนียว 10% เมล็ดยาว ตันละ 16,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียว 10% เมล็ดสั้นและข้าวเปลือกเจ้า 100%  ตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 5% ตันละ 14,800 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 10% ตันละ 14,600 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 15% ตันละ 14,200 บาท และข้าวเปลือกเจ้า 25% ตันละ 13,800 บาท ซึ่งจะปรับลดราคาตามชั้นคุณภาพหรือตามจำนวนกรัมในอัตรากรัมละ 200 บาท โดยไม่จำกัดปริมาณข้าวเปลือกที่รับจำนำและไม่จำกัดปริมาณข้าวเปลือกที่เกษตรกรแต่ละรายจะจำนำ     แต่ต้องเป็นข้าวเปลือกที่เกษตรกรเพาะปลูกเองในปีการผลิต 2554/55 และมีหนังสือรับรองเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งผ่านการทำประชาคม และเกษตรกรลงชื่อรับรองตัวเอง พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลงชื่อรับรองด้วย
ระยะเวลาดำเนินการรับจำนำเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2554 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2555 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 กรกฎาคม 2555 ระยะเวลาไถ่ถอน 4 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับจำนำ วิธีการรับจำนำจะรับเฉพาะใบประทวนโดยให้ อคส .และ อตก. รับสมัครโรงสีและตลาดกลางเข้าร่วมโครงการเป็นจุดรับฝากข้าวเปลือกและจ่ายใบประทวนให้เกษตรกร จากนั้นโรงสีที่รับข้าวเปลือกไว้จะสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสารส่งมอบโกดังกลางที่ อคส. หรือ อตก. กำหนดไว้ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะจ่ายเงินให้กับเกษตรกรโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของเกษตรกรแต่ละรายโดยตรง เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์
ด้านแนวทางการบริหารและติดตามกำกับดูแลโครงการ ธ.ก.ส. ได้ตั้งคณะกรรมการ 3 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานโครงการ ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย กลยุทธ์และแนวทางการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล 2.คณะกรรมการบริหารโครงการ ทำหน้าที่กำกับดูแลและติดตามให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามนโยบาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์และแนวทางที่กำหนด และ                 3.คณะกรรมการประสานงานและติดตามการดำเนินงานในพื้นที่ ทำหน้าที่ติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานตามโครงการในภาคสนาม ซึ่งจะมีชุดปฏิบัติการอีก 9 ชุดย่อย ประจำฝ่ายกิจการสาขาของ ธ.ก.ส. 9 ฝ่าย นอกจากนี้ คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ยังเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการติดตามกำกับและบริหารความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการรับจำนำของ ธ.ก.ส.  โดยมีกรรมการ ธ.ก.ส. 3 ท่าน เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย 
ส่วนนโยบายพักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้มีหนี้เกิน 500,000 บาท ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเช่นกัน โดย    ธ.ก.ส. จะพักชำระหนี้ให้แก่ลูกค้าโดยไม่ต้องชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 ปี
เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง 30 กันยายน 2557 พร้อมกันนี้ ธ.ก.ส. ได้จัดทำโครงการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรพักหนี้อย่างครบวงจร เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต และพัฒนาความรู้ในการประกอบอาชีพ ให้มีความเข้มแข็งและมีรายได้ที่มั่นคง ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สำหรับเงื่อนไขผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรที่มีปัญหาหนี้สินค้างชำระหรือหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เกิดจากเหตุสุจริตและจำเป็น หรือลูกค้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีภาระหนี้ค้างรายละไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 639,589 ราย ต้นเงินกู้คงเป็นหนี้ 77,753.17 ล้านบาท โดยช่วงที่พักชำระหนี้ลูกค้าไม่มีสิทธิ์ขอกู้เงิน รวมทั้งจะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตามศักยภาพตลอดระยะเวลาการพักหนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวตลอดระยะเวลา 3 ปี จำนวน 14,194.61 ล้านบาท ธ.ก.ส. จะนำเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ในการอนุมัติค่าใช้จ่ายและวงเงินชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรต่อไป 
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. จะดำเนินโครงการสวัสดิการลดภาระหนี้ให้แก่ลูกค้าที่ดี  ตามมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมลูกค้าชั้นดีของ ธ.ก.ส. โดยจัดทำประกันชีวิตให้แก่ลูกค้าชั้นดีที่มีหนี้ปกติ วงเงินประกันรายละไม่เกิน 100,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ค่าเบี้ยประกันรวมประมาณ 3,600 ล้านบาท  เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 ทั้งนี้เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ลูกค้าที่ดีของ ธ.ก.ส. และแบ่งเบาภาระหนี้สินให้แก่ครอบครัวกรณีลูกค้าเสียชีวิต  ซึ่งการดำเนินโครงการในปีแรกจะมีลูกค้าที่ได้รับการคุ้มครอง จำนวน 2.5 ล้านราย ค่าเบี้ยประกันปีแรกประมาณ 1,045 ล้านบาท ส่วนในปีต่อไปคาดว่าจะมีการเพิ่มของลูกค้าในโครงการเฉลี่ยร้อยละ 5 
สำหรับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร นายสุภชัย  งามสม กล่าวว่ามีเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส.ที่จะเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ประมาณ 1,898ราย  ยอดเงินค้างชำระ 123,541,838 บาท และเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการจำนำข้าวประมาณ 520 ราย เป็นลูกค้าในเขตอำเภอเมือง 23 ราย อำเภอบ้านแพ้ว 305 ราย อำเภอกระทุ่มแบน  195 ราย
 ธ.ก.ส. เร่งออกบัตรเครดิตเกษตรกร 1 พ.ย. นี้
ธ.ก.ส. ทุ่มงบ 1,008 ล้าน เฟ้นหาบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระบบบัตรเครดิต หวังเปิดให้บริการแก่เกษตรกรได้ ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ วางเป้าหมายลูกค้า 3 ล้านราย วงเงินสินเชื่อปีละไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท พร้อมประสานงานร้านค้าจัดกิจกรรมมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับเกษตรกรผู้ถือบัตร
นายสุภชัย  งามสม  ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดสมุทรสาครเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัตรเครดิตเกษตรกรว่า คณะกรรมการ ธ.ก.ส.  ได้มีมติให้ดำเนินการเช่าเหมาบริการระบบงานบัตรเครดิต โดยให้ผู้บริการเป็นผู้ออกแบบระบบพร้อมจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ ให้ ธ.ก.ส. เช่า เป็นระยะเวลา 3 ปี วงเงินงบประมาณจำนวน 1,008 ล้านบาท  แบ่งเป็นค่าเช่าระบบ 648 ล้านบาท และค่าจัดทำบัตรจำนวน 3 ล้านใบ  วงเงิน 360 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกผู้ให้บริการ เน้นกระบวนการที่ชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ได้ผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญ มีระบบเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจธนาคารในอนาคต  สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกครั้งนี้กำหนดแนวทางพิจารณาจากด้านเทคนิค มีการกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนในด้านต่างๆ ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต้องมีคะแนนทุกข้อรวมกันไม่ต่ำกว่า 80 คะแนน จึงจะผ่านเกณฑ์และได้รับการพิจารณาข้อเสนอด้านราคา จากนั้นจะพิจารณาคัดเลือกจากผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด นำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ในวันที่ 29 กันยายนนี้ เพื่อดำเนินการจัดทำระบบ ให้สามารถออกบัตรเครดิตเกษตรกรได้ ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้
          นายสุภชัย  งามสม กล่าวต่อไปว่า เทคโนโลยีของบัตรเครดิตเกษตรกรจะเป็นแบบ Smart Card เพื่อความปลอดภัย โดยมีการเก็บข้อมูลที่ใช้พิสูจน์ตัวลูกค้าไว้ในบัตรและสามารถรองรับการขยายผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ส่วนในด้านระบบจะครอบคลุมในด้านการบริหารจัดการบัตร เช่น ระบบทะเบียนสมาชิก ระบบการจัดทำบัตรเครดิต ด้านการบริหารจัดการร้านค้าคู่สัญญา เช่น ระบบทะเบียนร้านค้า ระบบบริหารค่าธรรมเนียม ระบบบริหารจัดการรหัส ระบบการจัดการเครื่อง EDC  ด้านการบริหารจัดการวงเงินบัตรเครดิต เช่น การควบคุมไม่ให้ใช้เกินวงเงิน การเพิ่ม-ลดวงเงินตามเงื่อนไข และด้านการบริหารจัดการลูกหนี้และการชำระหนี้ เช่น ระบบการเตือนหนี้ เป็นต้น  บัตรเครดิตเกษตรกร ธ.ก.ส. ในระยะเริ่มแรก จะจำกัดการใช้เฉพาะการชำระค่าปัจจัยการผลิตที่เกษตรกรซื้อจากสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.(สกต.) และร้านค้าเครือข่าย จำนวนกว่า 3,000 ร้านค้า และเพิ่มเป็น 5,000 ร้านค้า ในปีต่อๆไป และในโอกาสต่อไปจะขยายวัตถุประสงค์ให้สามารถกดเงินสดและชำระค่าสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ตลอดจนขยายธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและมีบริการที่ทัดเทียมกับผู้ให้บริการรายอื่น
           อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นของการเปิดให้บริการบัตรเครดิตเกษตรกร ธ.ก.ส. ได้กำหนดเงื่อนไขพร้อมจัดทำสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น กำหนดวงเงินกู้ในบัตรไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าผลผลิตส่วนเหลือเพื่อขายของเกษตรกรผู้กู้แต่ละราย  อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 7) หรือ 0 % กรณีรัฐบาลอุดหนุน ฟรีค่าทำบัตร ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี ปลอดดอกเบี้ย 30 วัน  ฟรีประกันชีวิตรายละไม่เกิน 100,000 บาท  กำหนดวงเงินกู้ฉุกเฉินให้รายละไม่เกิน 10,000 บาท และได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษกรณีฝากเงิน นอกจากนี้ยังประสานงานกับร้านค้าที่เป็นเครือข่ายจัดทำโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์กับผู้ถือบัตร เช่น ส่วนลดค่าสินค้า การสะสมแต้มเพื่อรับของสมนาคุณ เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่าในปีแรกจะมีปริมาณการใช้สินเชื่อผ่านบัตรเครดิตประมาณ 20,000 ล้านบาท ปีที่ 2 ประมาณ 44,600   ล้านบาท และปีที่ 3 ประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยในการแถลงข่าวครั้งนี้ทางสื่อมวลสมุทรสาครให้ความสนใจเข้าร่วมฟังอย่างมากมายเพื่อประชาชนเราพร้อมตีแผ่ให้ประชาชนได้รู้และทราบนายชัยพร ศิริพงษ์เวคินนายกสมาคมผู้สื่อข่าวสมุทรสาครกล่าว 


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น