“น้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต ดังจะเห็นได้จากการทรงงานของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยมีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 17 มีนาคม
2529 ความตอนหนึ่งว่า “หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้
น้ำเพื่อการเพราะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้
ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้”
นายจรินทร์
จักกะพาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
กล่าวว่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เป็นทางสายกลางในการดำรงชีวิตที่พระราชทานให้กับประชาชนมานานกว่า
40 ปี ที่ยึดหลักความพอประมาณ การมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน
ทั้งในการปฏิบัติตน การอยู่ร่วมกันในครอบครัว
การดำรงอยู่ของชุมชน การปฏิบัติงานและบริหารกิจการทั้งในภาครัฐและเอกชน
โดยในการประกอบอาชีพภาคเกษตรกรมีการนำมาประยุกต์ใช้ภายใต้แนวทางสร้างเกษตรผสมผสานเพื่อสร้างให้เกิดอาชีพที่มีรายได้ที่มั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร
และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสู่วิถีชีวิตของประชาชน
การพัฒนาเกษตรกร ที่ยากจนให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เป็นหลักในการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน
ภายใต้โครงการ “โครงการน้ำคือชีวิตสู่แปลงเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”
อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
กล่าวเพิ่มเติมว่า ขั้นตอนการดำเนินการนั้น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการ โดยเลือกพื้นที่
ที่มีแหล่งน้ำที่ใช้ประโยชน์ได้ หรือสามารถพัฒนาแหล่งน้ำให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างพอเพียงและมีพื้นที่ทำกินสำหรับกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่
10 รายขึ้นไป โดยให้พิจารณาจากที่ดินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่ดินเอกสารสิทธิ์ที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ความยินยอมให้ใช้ดำเนินโครงการ
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ที่ดินราชพัสดุ
หรือที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งได้รับการอนุญาตตามกฎหมาย เพื่อนำมาพัฒนาแหล่งน้ำ
และ/หรือระบบการจัดการน้ำ พัฒนาปรับปรุงที่ดินและจัดทำแปลงเกษตรผสมผสาน
ฝึกอบรมอาชีพเกษตรผสมผสานโดยเรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้านที่ประสบความสำเร็จ
การรวมกลุ่มอาชีพและจัดทำแผนบัญชีครัวเรือนโดยใช้วิทยากรจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ
ส่งเสริมความรู้การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การเลี้ยงสัตว์โดยใช้วิทยากรจากสำนักงานเกษตรอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการคัดเลือกผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดประชุมประชาคมคัดเลือกโดยยึดหลักเกณฑ์
ดังนี้ เป็นผู้ยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นคนยากจนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่มีที่ดินทำกินของตนเอง
เป็นคนขยันขันแข็ง พึ่งตนเอง
ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อบายมุข หรือได้ลด ละ เลิก
อบายมุขแล้ว เป็นผู้มีจิตใจสาธารณะ ช่วยเหลือเกื้อกูล
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม โดยเป้าหมายของโครงการคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพทั้ง
76 จังหวัด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น