นู สกิน ประเทศไทย เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ยุคดิจิตัล สร้างปรากฏการณ์เหนือคู่แข่ง เปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสุดล้ำ “ageLOC Me” ภายใต้เทคโนโลยีเอจล็อค เพื่อการบำรุงผิวด้วยสูตรเฉพาะบุคคลที่ถือเป็นผู้นำของโลก เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถออกแบบสูตรสกินแคร์ได้ด้วยตัวเอง จากสูตรบำรุงกว่า 2,000 สูตร เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลที่มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความสะดวกสบาย พร้อมวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เป็น Digital Customized Anti-Aging Skin Care สร้างแบรนด์ลอยัลตี้สู่ผู้บริโภค คาดว่าหลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% ของยอดขายรวมตั้งเป้าขึ้นแท่นเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของ นู สกิน ภายในสิ้นปี 2560
นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในปี 2560 และแข่งขันในตลาดจะเป็นไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากเป็นปีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการขับเคลื่อนธุรกิจเข้าสู่ยุคของดิจิตัลแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งการแข่งขันของธุรกิจขายตรงไม่ใช่เป็นเพียงการแข่งในตลาดเดียวกันอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นการลงไปแข่งกับทุกตลาด ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายให้กับธุรกิจขายตรง
"เราพร้อมปรับองค์กรตามโลก และนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาเป็นเครื่องมือที่ทำให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ จุดแข็งของเรายังคงเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจล็อคในหมวดแอนไท-เอจจิ้ง"ผจก.ทั่วไปนูสกิน กล่าวและว่า นอกจากนนั้นยังเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดความงามในประเทศไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาทและเติบโตอย่างต่อเนื่อง 8-10% ทุกปี อีกทั้งตลาดนำเข้าเครื่องสำอางในประเทศไทยมีการเติบโตอยู่ที่ 16.1% หรือคิดเป็นมูลค่า 51,487 ล้านบาท
โดยระบุว่า ประเทศสหรัฐอเมริกามีการนำเข้าเครื่องสำอางสูงเป็นอันดับ 3 ทั้งนี้ปัจจัยการเติบโตมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปการเติบโตของสังคมเมืองและสังคมออนไลน์ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ผู้บริโภคหันมาใส่ใจความเป็นเฉพาะบุคคลมากขึ้น นู สกิน จึงมองเห็นศักยภาพขององค์กรและความได้เปรียบด้านการแข่งขันทางการค้าในตลาดกลุ่มสกินแคร์ ที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 บริษัท มีการวางกลยุทธ์และปรับแผนธุรกิจให้ทันกับสถานการณ์และความต้องการของตลาด โดยมุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ตามคอนเซ็ปต์การเป็นบริษัทผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชรา
ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “เอจล็อค มี” (ageLOC Me) นวัตกรรมของการบำรุงผิวยุคดิจิตัลที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ดีไซน์สูตรสกินแคร์เฉพาะบุคคล ที่ตรงเข้าจัดการสัญญาณริ้วรอยแห่งวัยพร้อมบำรุงผิว โดยสามารถให้ผู้ใช้มีอิสระในการกำหนดสูตรตามความต้องการและเหมาะสมกับผิวเฉพาะบุคคล สามารถตั้งค่าความเข้มข้นของเนื้อครีม น้ำหอม ระดับสารกันแดด ที่มีให้เลือกมากกว่า 2,000 สูตร ด้วยการดีไซน์สูตรบำรุงผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนที่ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที
อีกหนึ่งไฮไลท์ของผลิตภัณฑ์ “เอจล็อค มี” คือชุดเครื่องมือผสมครีมและเซรั่มที่มีดีไซน์สวยงามและกลไกอัจฉริยะเพื่อให้ผู้ใช้ตั้งค่าการใช้งานได้ตามความต้องการ เช่น การปรับปริมาณของครีมที่ถูกปล่อยออกมาในแต่ละครั้ง โดยเครื่องจะตั้งค่าอัตโนมัติเพื่อเลือกครีมบำรุงได้ถูกประเภทไม่ว่าจะเป็นการบำรุงในตอนเช้า หรือการบำรุงในตอนกลางคืน และยังมีการแจ้งเตือนเมื่อปริมาณใกล้หมดเพื่อให้ผู้ใช้ได้ทำการเตรียมผลิตภัณฑ์ชุดต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงช่วยในเรื่องการใช้งานที่สะดวกสบาย แต่ยังผ่านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีการผสมเนื้อครีม ซึ่งเป็นสิทธิบัตรเฉพาะที่เรียกว่า “ไมโครเลเยอริ่ง” (MicroLayering) เพื่อความแม่นยำในการจ่ายครีมและผสมเนื้อครีมที่มีขั้นตอนซับซ้อนกว่า 40 ชั้น พิสูจน์ทางคลินิกแล้วว่าให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าการทาครีมลงบนผิวหน้าแบบปกติถึง 3 เท่า
โดยชุดเครื่องมือผสมครีมและเซรั่มกลไกอัจฉริยะนี้ถูกพัฒนาและรองรับด้วย 27 สิทธิบัตร ได้รับการยอมรับระดับโลกทั้งในเรื่องของงานดีไซน์ คอนเซ็ปต์ผลิตภัณฑ์และคุณภาพในการเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงทรงประสิทธิภาพ นับเป็นนวัตกรรมการดูแลผิวภายใต้เทคโนโลยีเอจล็อค เพื่อต่อต้านความเสื่อมชราในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยเงินลงทุนในการพัฒนาและวิจัยกว่า 1,300 ล้านบาท
“นู สกิน เราร่วมกับ 8 พันธมิตรระดับโลกในการออกแบบและวิจัยผลิตภัณฑ์ระดับนวัตกรรมจากความเชี่ยวชาญกว่า 35 ปี สู่การพัฒนาเพื่อให้ได้สูตรบำรุงผิวเฉพาะบุคคลที่ดีที่สุดนี้เป็น รายแรกในไทย และเป็น Beauty Gadget ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมโดดเด่นมาแรงที่สุดในปีนี้ เราคิดว่าจะขึ้นแท่นเป็นผลิตภัณฑ์เรือธง สร้างยอดขายไม่ต่ำกว่า 10% ของยอดขายรวมในปีนี้” นางวิภาดา กล่าว
ผลิตภัณฑ์ “เอจล็อค มี” (ageLOC Me) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ชุดมาตรฐาน ได้แก่ “เอจล็อค มี เดย์” ครีมบำรุงกลางวันที่ดูแลปกป้องผิวให้ความชุ่มชื้น พร้อมอิสระในการเลือกชนิดครีมบำรุง ส่วนผสมของน้ำหอมและสารป้องกันแสงแดด “เอจล็อค มี เซรั่ม” ผสานประสิทธิภาพทรีตเมนต์ต่อต้านความเสื่อมชรา ด้วยเซรั่มเข้มข้น 3 ชนิด เพื่อปกป้องฟื้นบำรุงผิวจากสัญญาณร่วงโรยแห่งวัย ลดเลือนริ้วรอย คืนความกระจ่างใส เพื่อผิวที่ดูเรียบเนียนดูอ่อนเยาว์ และ “เอจล็อค มี ไนท์” ซ่อมแซมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงในตอนกลางคืน สามารถเลือกเนื้อครีมบำรุงได้ตามความต้องการ มาพร้อมกับเครื่อง “เอจล็อค มี” จำนวน 1 เครื่อง และ “เอจล็อค มี ทราเวลเลอร์ คิต” สำหรับพกพาเพื่อการเดินทาง ในราคาเซ็ตละ 21,400 บาท พร้อมโหลดแอพลิเคชั่น “ageLOC ME SEA” ผ่านอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ เริ่มต้นการออกแบบสูตรสกินแคร์เพื่อให้ได้โค้ดเฉพาะ โดยสามารถส่งรหัสสั่งซื้อสินค้าผ่านนักธุรกิจ นู สกิน ทั่วประเทศ หลังจากทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ชุดมาตรฐานเป็นเวลา 2 สัปดาห์
สำหรับสัดส่วนยอดขาย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจล็อคทั้งผลิตภัณฑ์ สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 70% ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% โดยในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ด้านสัดส่วนการเติบโตของผู้แทนจำหน่ายในปี 2560 จำแนกเป็นสมาชิกทำเนียบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ 3 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ 1 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 100 ล้านบาท 5 บัญชีรายชื่อ สมาชิกทำเนียบ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ 21 บัญชีรายชื่อ และสมาชิกทำเนียบ 1 ล้านบาท จำนวน 927 บัญชีรายชื่อ
ทั้งนี้ปัจจัยความสำเร็จของ นู สกิน มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในแบรนด์และสินค้า เมื่อใช้แล้วมีการซื้อซ้ำและบอกต่อ ตลอดจน บริษัทมีทิศทางการขยายเครือข่ายเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และฐานสมาชิกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อให้เพิ่มมากขึ้น มีการปรับกลยุทธ์เน้นทำการตลาดผ่านออนไลน์แบบเต็มรูปแบบ รวมถึงการกระตุ้นยอดสมาชิกและสร้างโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งเชื่อมั่นว่าปัจจัยบวกในปีนี้จะทำให้ นู สกิน ประเทศไทย สามารถสานต่อความสำเร็จในการพิชิตยอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน