วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ทำไมโรคคอตีบจึงกลับมา
ดร.นายแพทย์อนุพงค์ สุจริยากุล
ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดราชบุรี มีความห่วงใยประชาชนเรื่องการกลับมาของโรคคอตีบ
จากข่าวพบการระบาดในหลายพื้นที่
จึงอยากจะแจ้งเตือนประชาชนโดยผ่านทางเครือข่าย/สื่อมวลชน "สำหรับประชาชนทั่วไปหรือผู้ที่เดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ตามแนวชายแดน
ต้องรู้จักการป้องกันตนเอง ด้วยการมีสุขนิสัยที่ดีในการป้องกันโรค คือ กินร้อน
ช้อนกลาง ล้างมือ ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดหรือสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรค
ผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัดควรสวมหน้ากากอนามัย
รวมถึงรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองและคนใกล้ชิด เช่น มีอาการไข้ต่ำๆ มีอาการคล้ายหวัดในระยะแรก
มีอาการไอเสียงก้อง เจ็บคอ เบื่ออาหาร ในเด็กโตอาจจะบ่นเจ็บคอคล้ายกับคออักเสบ บางรายอาจจะพบต่อมน้ำเหลืองที่คอโตด้วย
เมื่อตรวจดูในคอพบแผ่นเยื่อสีขาวปนเทาติดแน่นอยู่บริเวณทอนซิล และบริเวณลิ้นไก่
ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นโรคคอตีบต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาโดยเร็วและควรติดตามสถานการณ์โรคในพื้นที่และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
โรคคอตีบถึงแม้จะน่ากลัว แต่ถ้าเรารู้ทันก็สามารถป้องและรักษาให้หายได้"
"เขาหลวง สู่เมืองหลวง"
เมื่อวันที่
11 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา นายเฉลิม กาญจนพิทักษ์
ผู้ใหญ่บ้านเก้ากอ ต.ทอนหงษ์
อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ได้จัดกิจกรรมเดินเท้ารณรงค์ต้านยาเสพติด
ในกิจกรรมที่ชื่อว่า "เขาหลวง สู่เมืองหลวง"
เป็นการเดินเท้าจาก จ.นครศรีธรรมราช ถึง
กรุงเทพฯ พร้อมยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ผ่านทาง พ.ต.อ.พงษ์สยาม มีขันทอง รองเลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ให้ช่วยดูแล กวดขัน เรื่องปัญหายาเสพติดในเยาวชน ณ ลานพระรูป ร.4 ตร.
องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม กำหนดตราเครื่องหมายใหม่
นายพิสิฐ เสือสมิง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า ตามที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ได้มีประกาศลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง กำหนดตราเครื่องหมายเป็นรูปหน้าจั่ว กลองทัด ปลาทูถือไม้ตีกลอง เพื่อใช้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำหน่วยงานตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๗ แล้วนั้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ได้กำหนดตราเครื่องหมายเป็นรูปกงจักรมีช้างศึกภายใน และได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ในการใช้แทนตราเดิมดังกล่าว โดยความหมายของตราเครื่องหมายองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม (ใหม่) รูปกงจักรมีช้างอยู่ภายใน สื่อถึงธงชาติสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งพระองค์ทรงประสูติที่อำเภออัมพวา ลักษณะใบจักรมี ๙ ใบ แสดงว่าตรานี้ทำขึ้น ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙, ภาษาบาลี “อหังนาโค วสังคาเม” มีคำแปลว่า “เราจะอดทนต่อคำเสียดสีของคนอื่น เหมือนพญาคชสารในสนามรบ” สื่อความหมายถึงข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นข้าพระบาทฯ ทำงานต่างพระเนตร พระกรรณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่าหัวฯ ต้องอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ ไม่ย่อท้อในการที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน (ต่อเนื่องไปถึงรูปช้างภายในกงจักร ก็คือ ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงครามนั่นเอง) นอกจากนี้ในความหมายของสีต่างๆ ขอบวงกลมสีน้ำเงิน หมายถึง พระมหากษัตริย์, ของวงกลมสีแดง หมายถึง ชาติ, ของวงกลมสีขาว หมายถึง ศาสนา และ จักรสีทอง หมายถึง ความมั่งคั่งของจังหวัดสมุทรสงคราม นั่นเอง
พิธีวันที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
เมื่อ 8 ก.พ.56 ที่ผ่านมา นายกองเอก ธนน เวชกรกานนท์ ผู้บังคับกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดสมุทรสงคราม
เป็นประธานในพิธี วันที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
ประจำปี ๒๕๕๖ โดยเมื่อเดินทางมาถึงประธานในพิธีฯ
ได้มอบทุนการศึกษาจำนวน ๑ ทุน
ให้แก่เด็กหญิง ศิรินยา
สุคนธ์ล้ำเลิศ บุตรสมาชิก อส. ซึ่งเป็นทุนของมูลนิธิอาสารักษาดินแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์
จากนั้น จึงได้อ่านสารจากนายกองใหญ่ (จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ) ผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน
พร้อมทั้งได้กล่าวให้โอวาทเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติแก่เจ้าหน้าที่และสมาชิก อส. ภายหลังเสร็จพิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนของสมาชิก
อส. แล้วจึงเดินทางกลับ ทั้งนี้ การจัดพิธีวันที่ระลึกเนื่องในวันวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
ในปีนี้นับเป็น ปีที่ ๕๙ จากที่ได้มีการจัดตั้งกองอาสารักษาดินแดน
เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗ เพื่อเป็นเกียรติศักดิ์และศักดิ์ศรีแก่กองอาสารักษาดินแดน
ซึ่งถือเป็นกำลังพลภาคประชาชนที่สำคัญ ในการปฏิบัติงานร่วมกับฝ่ายปกครอง ทหาร
และตำรวจ ทั้งด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม การรักษาความมั่นคงของประเทศ
รวมถึงการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากธรรมชาติ
รวมทั้งเพื่อเป็นการตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึงวีรกรรมแห่งวีรชนกองอาสารักษาดินแดน
ที่ได้อุทิศชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อความมั่นคงผาสุกของชาติบ้าน
งานเทศกาลอาหารผลไม้และของดีนครปฐม ครั้งที่ 28 ประจำปี 2556 และ งานนครปฐมฟิชแฟร์ ครั้งที่ 5
นางสาวอังคณา
พุ่มผกา ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม
(สมุทรสงคราม นครปฐม สมุทรสาคร) เปิดเผยว่า จังหวัดนครปฐม
ร่วมกับหอการค้าจังหวัดนครปฐม วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เทศบาลนครนครปฐม ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม
หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดนครปฐม กำหนดจัดงานเทศกาลอาหารผลไม้และของดีนครปฐม
ครั้งที่ 28 ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 10 – 16 กุมภาพันธ์ 2556 ณ
บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์
จังหวัดนครปฐม
ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารของแผ่นดิน เป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยว
โดยมีศูนย์รวมจิตใจของชาวนครปฐม คือ องค์พระปฐมเจดีย์ฯ จึงจัดงาน
“เทศกาลอาหารผลไม้และของดีนครปฐม” ขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งปีนี้ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ
มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ สินค้าหลายชนิดให้เลือกซื้อ เช่น พืช ผัก ผลไม้สดปลอดภัย
ข้าวหลาม สินค้า OTOP
มหกรรมของดี 5 ภาค สินค้าราคาประหยัดมากมาย อาทิ ไข่ไก่ใบละ 1 บาท ซึ่งได้รับการควบคุมความสะอาดจากสาธารณสุขจำกัดเพียง
5,000 ฟองต่อวัน เท่านั้น ของฝากของที่ระลึกของจังหวัดนครปฐมและยังได้ อิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์ผลไม้
เพียงอิ่มละ 20 บาท และที่พลาดไม่ได้คือ โต๊ะจีนราคาพิเศษ 9 เมนูเด็ด เช่น เป๋าฮื้อเจี๋ยนน้ำแดง
ไก่ตอนนครปฐม สามเซียนตุ๋นมะนาวดอง ปลากะพงนึ่งมะนาว สลัดกุ้งทอด ฯลฯ จากราคาโต๊ะละ
1,800 บาท พิเศษ เหลือเพียง 1,099 บาท ติดต่อจองโต๊ะจีนได้ที่
สำนักงานหอการค้าจังหวัดนครปฐม 0 3425 4647, 0 3425 4231 , 08 1857 9771
(รับจองล่วงหน้าเท่านั้น)
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดงาน
“นครปฐมฟิชแฟร์ ครั้งที่ 5” เชิญพบกับการโชว์ปลาสวยงาม/ตู้โชว์ปลาไทย ปลาทะเลแบบ Touch Pool การออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การประกวดปลาทอง การประกวดปลากัด
การประกวดปลาหมอครอสบรีด การประกวดปลาหางนกยูง ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 10 -14
กุมภาพันธ์ 2556
จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวในงานนี้ซึ่งถือว่า“มาวันเดียว..เที่ยวได้สองงาน”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
สำนักงานหอการค้าจังหวัดนครปฐม โทร. 0 3425 4647, 0 3425
4231 , 08 1857 9771หรือ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0 3475 2847-8 E-mail : tatsmsk@tat.or.th หรือ TAT
Call Center 1672
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
โครงการดื่มไม่ขับตำรวจไม่จับกลับปลอดภัย
เมื่อ 7 ก.พ 56 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.เรืองศักดิ์
จริตเอก ผู้ช่วย ผบ.ตร.(บร5) พร้อมด้วย
เป็นประธานเปิดโครงการดื่มไม่ขับตำรวจไม่จับกลับปลอดภัย ณ ลานหน้าห้าง
อัมรินทร์พลาซ่า
โฆษก ตร. ตรวจพื้นที่ ถนนเยาวราช
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์
2556 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร. ตรวจพื้นที่ และ
ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนช่วยป้องกันเพลิงไหม้ การโจรกรรม
และอุบัติเหตุในเทศกาลตรุษจีน ปี 2556
ณ บริเวณวัดมังกรกมลาวาส
ถนนเยาวราช
จังหวัดสมุทรสงคราม คัดเลือกเยาวชนเข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ประจำปี ๒๕๕๖
นางสาวจิรารัตน์ สุนทรอาคเนย์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
จะจัดโครงการพัฒนาประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนกิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย
(สัมมนาเชิงปฏิบัติการ) ประจำปี ๒๕๕๖
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและเผยแพร่ความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
และเข้าใจช่องทางการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้อย่างเหมาะสม
ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนรุ่นใหม่มีวิสัยทัศน์ วิถีความคิด วิถีชีวิตคุณธรรม
จิตสำนึกและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกิจกรรมจะเป็นเยาวชน ชาย – หญิง อายุระหว่าง ๑๕ – ๒๐
ปี ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งสายสามัญและสายอาชีพ และ/หรือระดับอุดมศึกษา
หรือเทียบเท่า ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น ๓๒๐ คน โดยกำหนดสัมมนาฯ จำนวน ๒
รุ่น รวม ๑๐ วัน รุ่นที่ ๑ และรุ่นที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ
สถาบันวิชาการทีโอที เลขที่ ๑๗๔ ซอยงามวงศ์วาน ๑๗ ถนนงามวงศ์วาน อำเภอเมือง
จังหวัดนนทบุรี
สำหรับจังหวัดสมุทรสงคราม
ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเยาวชน รวม ๔ ราย เพื่อเป็นตัวแทนของจังหวัดในการเข้าร่วมโครงการฯ
ดังกล่าว คือ นางสาวจิราพัชร เงินดี โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย, นายเมธี บุญนพ โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย,
นายเกรียงไกร แสงหล่อ โรงเรียนถาวรานุกูล
และ นายทรงพล งามเสน่ห์ โรงเรียนถาวรานุกูล
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ผบช.น.เปิดโครงการ" นักศึกษาอาสาทำดี
เมื่อ 1 กพ.56 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.คำรณวิทย์
ธูปกระจ่าง ผบช.น. พร้อมด้วยชมรมแม่บ้านตำรวจนครบาล เปิดโครงการ "
นักศึกษาอาสาทำดีแด่ในหลวง " ณ สถาบันเทคโนโลยี่หมู่บ้านครู ท้องที่ สน.หนองค้างพลู
กองบังคับการตำรวจนครบาล 9
รวบผู้ต้องหาฆ่าบีบคอเมียหมกศพคาห้องเช่า
กองบัญชาการตำรวจนครบาลนำโดย
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.
ได้มีนโยบายเร่งด่วนในการกวาดล้างอาชญากรรมต่างๆ ทุกชนิด
เพื่อเป็นการลดปัญหาตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้สั่งให้ พล.ต.ต.ปริญญา
จนทร์อิทธิกุล,พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์,พล.ต.ต.อิทธิพล
พิริยะภิญโญ,พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์,พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น.
เร่งรัดสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญประชาชน
กองบังคับการตำรวจนครบาล 5
โดย พล.ต.ต.กฤษฏิ์ เปียแก้ว ผบก.น.5 ,พ.ต.อ.สุพจน์
พรหมศิริ รอง ผบก.ฯ จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ เฉลิมสุข
ผกก.สน.วัดพระยาไกร
พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่กระทำความผิดดังกล่าวมาดำเนินคดีให้จงได้
เมื่อวันที่
3 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งว่าพบศพนางสาวดาว จันทร์มา นอนเสียชีวิตอยู่บ้านเลขที่
25/1 ซอยเจริญกรุง 103/1 แยก 6
แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม
กรุงเทพมหานคร
จึงได้ออกตรวจที่เกิดเหตุและทำการสืบสวนสอบสวนติดตามตัวผู้กระทำความผิด
จนทราบว่าผู้ต้องหาในคดีนี้ คือนายประเสริฐ หรือแนป เทียมสายออ จึงได้ประสานงานกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบขออนุมัติศาลออกหมายจับตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้
ที่ 3/2556 ลงวันที่ 4 มกราคม 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ออกติดตามตัวผู้ต้องหานี้ตามหมายจับดังกล่าวข้างต้น
กระทั้งสืบทราบว่าผู้ต้องหานี้ได้หลบหนี้ไปซุกซ่อนตัวอยู่บ้านเลขที่ 134 หมู่ที่ 7 ตำบลนาบ่อคำ อำเภอเมืองกำแพงเพชร
จึงได้รีบเดินทางไปติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่หน้าบ้านเลขที่ดังกล่าวข้างต้น
เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556 นำส่งตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยในชั้นจับกุมผู้ต้องหานี่ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหานี้มีหมายจับของศาลธัญบุรี ตามหมายจับที่ 1063/2553 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553
ในความผิดฐาน
ร่วมกันกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม
เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน
(อป.มช.) ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง ๓ อำเภอ
นางสาวจิรารัตน์ สุนทรอาคเนย์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม
เปิดเผยว่า จากการที่กรมประชาสัมพันธ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดำเนินการจัดอบรมเพื่อสร้างและพัฒนาบุคคลให้กระจายอยู่ทั่วประเทศ
รวมทั้งกรุงเทพมหานคร โดยการจัดฝึกอบรมอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน
หรือ อป.มช. ทั้ง ๗๖ จังหวัดๆ ละ ๔๐ คน และกรุงเทพมหานครอีก ๕๐ คน ด้วยการให้ความรู้
ความเข้าใจทางการเมืองการปกครองของไทย การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์
กลยุทธ์จัดรายการวิทยุกระจายเสียงให้น่าสนใจ ศิลปะการทำงานกับชาวบ้าน
ตลอดจนช่องทางการประชาสัมพันธ์ในจังหวัด เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริงในพื้นที่
ในส่วนของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม
ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์
ได้เห็นความสำคัญนโยบายสำคัญดังกล่าวของรัฐบาล จึงได้จัดทำโครงการ “สร้างเครือข่ายอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน
(อป.มช.)” ขึ้น โดยจัดให้มีการฝึกอบรม เพื่อการสร้างเครือข่ายในจังหวัดสมุทรสงคราม
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ – ๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กนกรัตน์รีสอร์ท
ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
ทั้งนี้ การอบรมเมื่อเสร็จสิ้นจังหวัดสมุทรสงครามจะมีเครือข่ายในปี
๒๕๕๖ อีกจำนวน ๔๐ คน ครอบคลุมพื้นที่จากเดิมที่มีอยู่แล้ว จำนวน ๕๐ คน (รวม ๙๐ คน)
และโดยภาพรวมของทั้งประเทศในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ จะมีอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน
หรือ อป.มช. กระจายทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นอีก
๓,๘๐๐ คน จากเดิมที่มีสมาชิก อปม. อยู่ในทะเบียนรายชื่อแล้วประมาณ ๓,๐๐๐ คน และเมื่อรวมถึงปัจจุบันจะมีทั้งหมด ๖,๘๐๐ คน
เปิดรับสมัครผู้เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเป็นอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน
(อป.มช.) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖
นางสาวจิรารัตน์ สุนทรอาคเนย์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม
เปิดเผยว่า สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดรับสมัครบุคคลที่มีอายุ
๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป, มีภูมิลำเนาในจังหวัดสมุทรสงคราม,
มีความรู้ไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น, มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม
และมีความเสียสละพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือการดำเนินการประชาสัมพันธ์ในส่วนความรับผิดชอบด้วยความเต็มใจ,
มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี, ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความสนใจติดตามข่าวสารของทางราชการและสื่อมวลชนเป็นประจำ
เข้ารับการฝึกอบรมตามโครงการ “สร้างเครือข่ายอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน
(อป.มช.)” ประจำปี ๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ – ๑
มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กนกรัตน์รีสอร์ท ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม โดยผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองของไทย
การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ กลยุทธ์จัดรายการวิทยุกระจายเสียงให้น่าสนใจ
ศิลปะการทำงานกับชาวบ้าน และช่องทางการประชาสัมพันธ์ในจังหวัด เพื่อการสร้างสื่อบุคคลคือสร้างเครือข่ายอาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้านและชุมชน
(อป.มช.)
เป็นเครือข่ายประชาสัมพันธ์ในพื้นที่และปฏิบัติงานอย่างยั่งยืนกระจายอยู่ทั้ง ๓
อำเภอ ของจังหวัดสมุทรสงคราม รวมทั้งเพื่อให้ผู้รับการฝึกอบรมได้รู้จักกัน
มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเครือข่ายด้วยกันและเจ้าหน้าที่สำนักงานประชาสัมพันธ์สมุทรสงคราม
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการติดต่อ ประสานงาน และเป็นเครือข่ายที่ดีในอนาคต
ผู้สนใจติดต่อสมัครเข้าร่วมโครงการฯ
ได้ที่ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม ชั้น ๑ ศาลากลางจังหวัด
(หลังใหม่) ถนนเอกชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ๗๕๐๐๐ โทรศัพท์/โทรสาร ๐-๓๔๗๑ – ๔๘๘๑ ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ตั้งเป้าแผนดำเนินงานโครงการเพิ่มทุนฯ ตามโครงการกองทุนหมู่บ้าน
นางศิริ
กำปั่นทอง
พัฒนาการจังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า จากการที่จังหวัดสมุทรสงครามได้ดำเนินการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
โดยมีกองทุนหมู่บ้านที่จะทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ซึ่งเป็นคุณสมบัติข้อแรกที่สามารถขอรับการเพิ่มทุนฯ ได้ จำนวน ๓๐๔ กองทุน
แยกเป็นอำเภอเมืองฯ ๑๐๑ กองทุน/อำเภออัมพวา ๑๐๒ กองทุน และอำเภอบางคนที ๑๐๑ กองทุน
โดยคณะอนุกรรมการสนับสนุนระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน
ได้พิจารณาการขอเพิ่มทุน ระยะที่ ๓ ไปแล้ว จำนวน ๒ ครั้ง ผ่านความเห็นชอบทั้งหมด
๕๕ กองทุน ขณะนี้มีกองทุนฯ
ยื่นแบบขอรับการสนับสนุนมาที่ฝ่ายเลขานุการอนุกรรมการสนับสนุนระดับจังหวัด เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเบื้องต้น
จำนวน ๕๐ กองทุน คาดว่าจะประชุมคณะกรรมการสนับสนุนระดับจังหวัด
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการเพิ่มทุน ระยะที่ ๓ ครั้งที่ ๓
ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ โดยสรุปขณะนี้มีกองทุนฯ
ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๕๕ กองทุน อยู่ในระหว่างการเตรียมข้อมูลเสนอคณะอนุกรรมการสนับสนุนระดับจังหวัดพิจารณา
จำนวน ๕๐ กองทุน และคงเหลือกองทุนฯ ที่ยังไม่เสนอคำขอรับการสนับสนุนเพิ่มทุน
ระยะที่ ๓ อีกจำนวน ๑๙๙ กองทุน นอกจากนี้จากแผนการดำเนินงานโครงการเพิ่มทุนฯ
ระยะที่ ๓ จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้ง ๓ อำเภอ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ทั้งหมด ๒๙๑ กองทุน
เมื่อคิดจำนวนร้อยละการดำเนินงาน จากเดือน พ.ย.๕๕ เป็นต้นมากระทั่งถึงเดือน
มี.ค.๕๖ จะดำเนินการได้ครบร้อยละ ๑๐๐
ทั้งนี้ กองทุนที่มีคุณสมบัติครบ
ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนการเพิ่มทุนระยะที่ ๓ ขอรับแบบฟอร์ม และคำขอปรึกษาแนะนำการกรอกเอกสารได้ที่
สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอทุกแห่ง
และส่งแบบคำขอรับการเพิ่มทุนพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านอำเภอเพื่อจังหวัดพิจารณาเห็นชอบก่อนส่งให้คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
พิจารณาอนุมัติจัดสรรเพิ่มทุน ระยะที่ ๓ จำนวนกองทุน ๑ ล้านบาท ให้ต่อไป
มอบเงินซื้อเสื้อเกราะส่งชายแดน
เมื่อ
5 กุมภาพันธ์ 56 ที่ผ่านมา คุณอาภาภรณ์ โกศลกุล , คุณศุภลักษณ์
ตัณทาภิชาติ และ คุณศรีไศล (สุชาตวุฒิ) วรานนท์ ได้ร่วมกันมอบเงินบริจาค จำนวน 636,500 บาท ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.
และ พล.ต.ท.สุรพงษ์ เขมะสิงคิ ผบช.ตชด.เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปจัดซื้อเสื้อเกราะ
ให้กับตำรวจตระเวนชายแดน ที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ ห้องรับรอง สนง.ผบ.ตร.
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ต้อนรับเอกอัครราชฑูตแห่งญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์
2556 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว
ผบ.ตร. และคณะ ต้อนรับ Mr.Shigekazu Sato เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม
แห่งญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย
ในโอกาสเข้าคารวะและหารือข้อราชการ
ณ ห้องรับรอง ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.
คืนคนดีสู่สังคม
เมื่อ 1 ก.พ.56 ที่ผ่านมา ผบช.น.เปิดโครงการ
" คืนคนดีสู่สังคม "พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
ผบช.น.เดินทางไปเปิดโครงการแสวงหาแนวร่วมการป้องกันยาเสพติดในชุมชน "
คืนคนดีสู่สังคม " ณ มัสยิดมหานาค พื้นที่ สน.พลับพลาไชย 1 กองบังคับการตำรวจนครบาล 6
ตชด.ปะทะแก๊งขนข้าวเปลือกเจ็บ1นาย
เมื่อ วันที่ 29 ม.ค.56 ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.อุฬาร อเนกบุณย์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ได้รับรายงานจาก พ.ต.อ.ฉัตรมงคล พ้นภัย
ผกก.กก.ตชด. 12 อ.อรัญประเทศ ว่ามีกำลัง ตชด.12 เปิดยิงปะทะกับกองกำลังติดอาวุธเขมรที่คอยคุมกันขบวนการลักลอบขนข้าวเปลือกเข้ามายังฝั่งไทย
ในพื้นที่บ้านโคกเพร็ก–คลองแผง ต.ทับไทย อ.ตาพระยา มีตชด.ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 นาย
ถูกนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ทราบชื่อ คือ ส.ต.ท.ทรงกรด พันสุริยะกันต์ ผบ.หมู่ กก.ตชด 12 ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่บริเวณต้นคอด้านขวา
1 นัด กลางหลังกระสุนฝังใน 1 นัด แล้วล้มฟาดพื้นศีรษะแตก ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ส.ต.ท.ทรงกรด คนเจ็บเล่าเหตุการณ์ว่า
ขณะกำลังออกลาดตระเวน ร่วมกับผู้บังคับบัญชา พร้อมกำลังกว่า 10 นาย
พบรถอีแต๊ก(รถบรรทุกการเกษตร) บรรทุกข้าวเปลือกกำลังขับข้ามเข้ามาจากประเทศกัมพูชา
บนถนนศรีเพ็ญ ระหว่างบ้านโคกเพร็ก-บ้านทับไทย จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น ทันใดนั้นมีเสียงปืนยิงสวนมาจากด้านหลังรถบรรทุกข้าวและไม่ทราบจำนวนคนร้าย จึงยิงต่อสู้ประมาณ
10 นาที กลุ่มคนร้ายได้ล่าถอยไป ส่วนตนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ
ผู้บังคับบัญชารีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนคนร้ายได้ล่าถอยเข้าที่มืด
และเจ้าหน้าที่ตชด.ได้ตรึงกำลังไว้ในที่เกิดเหตุ
รวบนักการเมืองท้องถิ่นลักตัดไม้พะยูงในอุทยาน
ตำรวจสระแก้วสนธิกำลังสกัดจับนักการเมืองท้องถิ่นขนไม้พะยูงจากเขตอุทยานฯ ตาพระยา ได้ผู้ต้องหา 5 คน พร้อมของกลางไม้พะยูง 17 แผ่น มูลค่า 3 ล้าน จากการสืบทราบของ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า มีนักการเมืองท้องถิ่นพาพวกเข้าไปตัดไม้พะยูงภายในเขตอุทยานแห่งชาติตาพระยา จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.อุฬาร อเนกบุณย์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว เข้าทำการปราบปราม โดยสั่งการให้ พ.ต.ท.จัตุรัตน์ รัตนไชยศรี รองผกก.สส.ภ.จว.สระแก้ว พร้อมด้วย ร.ต.อ.ณัฐพล ชนะศุภกาญจณ รองสว.สภ.คลองลึก ประสานกับ พ.ต.ท.สมพงษ์ พูนศิริ รองผกก.สภ.ตาพระยา พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยรักษา สก.11 เขาแสกกอง เข้าทำการจับกุมกระทั่งเวลา 05.00 น. วันที่ 29 ม.ค. 56 ชุดจับกุมได้สนธิกำลังออกลาดตระเวนไปตามถนนสายโคคลาน-บ้านแก้วเพชรพลอย หลัก กม.ที่ 35 หมู่ 8 ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว โดย พ.ต.ท.จัตุรัตน์ และ ร.ต.อ.ณัฐพล ได้ประสานกับ พ.ต.ท.สมพงษ์ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าตรวจสกัด หลังจากนั้นก็พบรถลักษณะตรงกับที่สายรายงานมา จึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบคนในรถ ทราบชื่อคือ นายจิตรภานุ พยุงดี อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 25 หมู่ 11 ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา มีตำแหน่งเป็นประธานสภา อบต.ทัพเสด็จ ขับรถปิกอัพยี่ห้อมิตซูบิชิ ไทรทัน สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฒช-7784 กทม. เคลียร์เส้นทาง นายสงบ สองสาย อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45 หมู่ 3 ต.โคคลาน อ.ตาพระยา ขับรถบรรทุก 6 ล้อยี่ห้ออีซูซุ สีฟ้า ทะเบียน 80-7688 สระแก้ว มีผ้าใบสีน้ำเงินคลุมกระบะท้าย นายบุญลือ ยินดีชาติ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 172 หมู่ 3 ต.โคคลาน อ.ตาพระยา ขับรถปิกอัพยี่ห้ออีซูซุ ดีแม็คซ์ สีแดง ทะเบียน ผพ-3184 นครราชสีมา ขับประกบหลังมา นายจิตกร สองสาย อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45 หมู่ 3 ต.โคคลาน อ.ตาพระยา และนายบุญเรือง ยินดีชาติ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 104 หมู่ 3 ต.โคคลาน อ.ตาพระยาต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้เปิดผ้าใบคลุมกระบะท้ายรถบรรทุก 6 ล้อออก ก็เห็นไม้พะยูงแปรรูป จำนวน 17 แผ่น กว้าง 40-52 ชม. หนา 11-12 ชม. พร้อมอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. ยี่ห้อเทารัส 1 กระบอก รวมทั้งเครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. อีก 13 นัด ก่อนที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะนำตัวผู้ต้องหามาสอบสวนขยายผลที่ สภ.ตาพระยา ทั้งนี้ จากการสอบสวน นายสงบ หนึ่งในผู้ต้องหา ให้การว่า ของกลางที่ตรวจเจอเป็นของคนไทย ไม่ทราบชื่อ บอกให้นำมาส่งที่หมู่บ้านทัพเสรี ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา แล้วจะมีชาวกัมพูชามารับไป ซึ่งอยู่บริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ได้ค่าจ้างจำนวน 20,000 บาท เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหามีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก่อนจะนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ตาพระยา ดำเนินคดีตามฐานความผิดร่วมกันมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองเกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตรโดยไม่ได้รับอนุญาต และพยายามนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียภาษีออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร
คุณรู้จัก SCG ดีแค่ไหน
ในปีพุทธศักราช
2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้ง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด
เมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2456 จดทะเบียน: 8 ธันวาคม พ.ศ. 2456 (
99ปี)
ด้วยพระราชประสงค์ที่จะให้ประเทศไทยผลิตปูนซีเมนต์ใช้เอง
ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
และเพื่อจัดสรรการใช้ทรัพยากรภายในประเทศอย่างคุ้มค่า บริษัทปูนซิเมนต์ไทย
ได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องตลอดมา ตามสถานการณ์ และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
จนเป็น “เครือซิเมนต์ไทย”(SCG) กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมที่มีประวัติยาวนานที่สุด
และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด
(มหาชน) หรือ เครือซิเมนต์ไทย (อังกฤษ: Siam Cement Group ชื่อย่อ: SCG) หรือที่นิยมเรียกว่า "ปูนใหญ่"
ปัจจุบันใช้ชื่อเรียกทั้งกลุ่มธุรกิจว่า "เอสซีจี"
เริ่มดำเนินการครั้งแรกเป็นผู้ผลิตปูนซิเมนต์และต่อมาได้มีการขยายกิจการไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมาย อาทิเช่น
ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กระดาษ โลหะ เครื่องจักรกล ปิโตรเคมี ธุจกิจจัดจำหน่าย เป็นต้น
มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประมาณ 30% ที่เหลืออีก 70%
ถือหุ้น โดยนักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน ปัจจุบัน SCG มีบริษัทสำคัญกว่า 100
บริษัท มีพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 28,000 คน
ผลิตสินค้ากว่า 64,000 รายการ
เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังทุกภูมิภาคทั่วโลก แต่เดิม SCG ดำเนินธุรกิจอยู่ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม แต่หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย
พ.ศ. 2540 SCG ได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารและการดำเนินธุรกิจขนานใหญ่
จนกระทั่งในปัจจุบัน SCG คงเหลือไว้ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ 6
กลุ่ม ได้แก่ ซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ปิโตรเคมี กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจจัดจำหน่าย และธุรกิจการลงทุน แนวทางในการดำเนินธุรกิจของ SCG นั้นประกอบด้วย 4 สิ่ง
คือ "ตั้งมั่นในความเป็นธรรม มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ เชื่อมั่นในคุณค่าของคน
ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม"
ซึ่งยึดถือเป็นแนวปฏิบัติของพนักงานทุกคนไล่มาตั้งแต่ระดับคณะจัดการ
จนกระทั่งถึงพนักงานทุกระดับ วิสัยทัศน์เอสซีจี คนของเรา...
รวมพลังสร้างอนาคต“วิสัยทัศน์ของเครือซิเมนต์ไทย (SCG) คือ ภายในปี
พ.ศ. 2558 SCG จะเป็นองค์กรที่ได้รับการยกย่องในฐานะเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่น่าร่วมงานด้วย
และเป็นแบบอย่างด้านบรรษัทภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี พ.ศ. 2558 SCGจะเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคที่มุ่งดำเนินธุรกิจควบคู่กับการเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนให้แก่อาเซียน
และชุมชนที่เข้าไปดำเนินงาน มุ่งสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า พนักงาน
และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายภายใต้คุณภาพการบริหารงานระดับโลก
สอดคล้องกับหลักบรรษัทภิบาล และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงอีกทั้งยังมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน
ด้วยสินค้าและบริการ ที่มีคุณภาพจากกระบวนการดำเนินงาน การพัฒนาเทคโนโลยี
และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความเป็นเลิศSCG เชื่อมั่นในคุณค่าและศักยภาพของพนักงาน
ซึ่งจะทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ในบรรยากาศการทำงานที่เปิดเผยโปร่งใส
เปี่ยมด้วยพลังแห่งความกระตือรือล้น
โดยพนักงานของเราทุกคนจะยึดมั่นและปฏิบัติตามอุดมการณ์ 4 และจรรยาบรรณของ
SCG ภายในปี พ.ศ. 2558 SCG จะพัฒนาพนักงานซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ
วัฒนธรรม และประสบการณ์ให้มีความมุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของลูกค้า
มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล...”
คนของเรา... เติบโตไปพร้อมกัน การพัฒนาคนของเราเป็นนโยบายที่ SCG
ให้ความสำคัญมาตลอดโดยมุ่งเสริมทั้งความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการทำงาน
และความรู้ที่จำเป็นต่อการเพิ่มมุมมองด้านต่างๆ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นนอกจากนี้
SCG ยังเชื่อว่าคุณภาพชีวิตที่ดีจะนำมาซึ่งผลงานที่มีประสิทธิภาพ
จึงให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ทำให้คนของเรามีความสุขในการทำงานเพิ่มขึ้น อาทิ
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้สะดวก สร้างความสุขและทันสมัย รณรงค์ความปลอดภัยในการทำงาน
สนับสนุนกิจกรรมตามความสนใจเฉพาะด้านและกิจกรรมสร้างความอบอุ่นในครอบครัวของพนักงาน
ดูแลสุขภาพพลานามัย ให้แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
โดยพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้นเสมอในทุกประเทศให้อยู่ในระดับเดียวกับองค์กรชั้นนำ
เพื่อจูงใจให้คนเก่งและคนดีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราSCG เชื่อมั่นว่าการพัฒนาคนให้เข้มแข็ง
ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถ ดูแลคุณภาพชีวิต และสร้างความรักผูกพันกับองค์กร
จะส่งเสริมให้คนของเราเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา SCG ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งคนและองค์กรเติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคง
และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นและสังคมในระยะยาว
มุมมองที่มีต่อ SCG เป็นบริษัทที่ได้รับการยกย่องในฐานะผู้รังสรรค์นวตกรรมใหม่
ทั้งยังเป็นแบบอย่างในด้านการบริหารแบบธรรมาภิบาล ที่เน้นการบริหารงานควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีความสามารถที่เหนือขีดจำกัด
ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทแห่งนี้ได้รับการยอมรับจากสังคม
จนถูกนำมาเป็นกรณีศึกษาหลายครั้ง ทั้งในระดับภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมหาวิทยาลัย เป็นบริษัทที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในส่วนของบริษัทเอง
และชุมชนที่บริษัทเข้าไปดำเนินกิจการ
มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม
ให้เจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป เป็นบริษัทที่มีการพัฒนาทางด้านสินค้าและบริการที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและประสิทธิภาพ
สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง เป็นบริษัทที่มีการเคลื่อนไหวที่สอดรับกับสภาพการปัจจุบัน
สนองความต้องการให้กับลูกค้าได้อย่างตรงจุดและรอบด้าน เป็นบริษัทที่มีการบริหารงานอย่างโปร่งใส่ เป็นธรรม และมีคุณธรรม เป็นบริษัทที่ขยายตัวเพื่อรองรับการเติบโตของประเทศไทยสู่ประชาคมอาเซียน