pearleus

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

ตร.พร้อมจนท.อย. จับกุมร้านขายยาลักลอบจำหน่ายยาอันตราย


 

 พล.ต.ต.ฤชากร จรเจวุฒิ รอง ผบช.น.พร้อมด้วยพ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร​ ผกก.ดส.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา​ (อย.​)​ วางแผนจับกุมร้านจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ที่มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาอันตราย​วัตถุออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาทประเภท​ 2 ที่มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาอันตรายผิดวัตถุประสงค์ ให้แก่เยาวชนตลอดจนวางแผนจับกุมบุคคลที่ลักลอบจำหน่ายยาอันตรายและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาททางโซเชียลมีเดีย​ โดยทางเจ้าหน้าที่​ ตรวจสอบร้านขายยาแผนปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพมหานคร​ จำนวน​ 3​ จุดประกอบด้วยร้านขายยาเภสัชกรุงเทพ​ 2​, ร้านลักขณา​ และร้านกระปุกยา​ โดยให้สายลับทำการล่อซื้อยาทรามาดอล​ (เขียว-เหลือง)​ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทจนสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด​ 4​ รายและทำการตรวจยึด​ ยาแก้ไอ, ยาแก้แพ้​ จำนวน​ 2,920 ขวด ยา​Tramadol จำนวน​ 58,760 เม็ดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท​ 2​  (อัลปราโซแหลม)​ จำนวน​ 2,000 เม็ด​ โดยแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า​ "ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันนอกเวลาทำการ, ร่วมกันขายยาอันตรายขณะที่ผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการไม่อยู่, ผู้ขาย​ (ขย.1)​ ไม่ทำบัญชียา, ผู้มีหน้าที่​ (เภสัชกรประจำร้าน)​(ขย.1)​ไม่ควบคุมการจัดทำบัญชียา, ผู้ขาย​ (ขย.1)​ จัดให้ฉลากที่ภาชนะและหีบห่อบรรจุยาตามที่กำหนดไว้ใน​ ม.25(3) คงมีอยู่ครบถ้วน, และขายยาปลอม​ ตามนิยาม​ ม.73(4) ยาที่แสดงว่าเป็นยาตามตำรับยาที่ขึ้นทะเบียนไว้​ ซึ่งมิใช่ความจริง, ขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท​ 2​ โดยไม่ได้รับอนุญาต, มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท​ 2​ (อัลปลาโซแหลม)​โดยไม่ได้รับอนุญาต" และนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนท้องที่รับผิดชอบต่อไป


สุรเชษฐ​ น​สพ.ประชา​ไท​ รายงาน​








แบบสำรวจการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ ประจำปี 2561

เนื่องด้วยวันที่ 14 เมษายน ของทุกปีเป็น “วันแห่งครอบครัว” กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีแนวคิดสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นเรื่องกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่มักจะทำร่วมกับครอบครัวในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ ประจำปี 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปกำหนดแนวทางในการดำเนินการเสริมสร้างสัมพันธภาพและสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของครอบครัว สร้างแนวคิดให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติ และรณรงค์ให้ภาครัฐ และภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาครอบครัวให้มากขึ้น 

https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfisO2B4Z7PjF9EHiIDOqGe2gGstfEAy5s54KNcEEfNyDny4w/viewform?usp=pp_url&entry.1342215682

ช่วยกันส่งต่อไปยังพรรคพวกเพื่อนพ้องพี่น้องญาติมิตรให้ถ้วนทั่วเลยค่ะ/ครับ และขอขอบคุณในความร่วมมือมา ณ โอกาสนี้

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

อรอนงค์”นางสาวไทยสร้างแบรนด์เครื่องสำอางส่งเซรั่ม “B-ORN” ตีตลาดเน้นช่องทางขายออนไลน์

นางสาวไทย ปี 2535 “อรอนงค์ ปัญญาวงศ์” เพิ่มช่องทางรายได้หลังจากที่เป็นนักแสดงและครูสอนนาฏศิลป์ ด้วยการลงทุนทำธุรกิจเครื่องสำอางประเภทเซรั่มแบรนด์ “B-ORN” (บี-อร) ใช้ความเก๋าในวงการนางงามบุกตลาดความงามและเป็นพรีเซ็นเตอร์เอง เน้นช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านออนไลน์
อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ นางสาวไทย ปี 2535 เผยว่า ตลอดระยะเวลาที่เป็นนางสาวไทยมา 26 ปี ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะด้านธุรกิจความงาม ที่ผ่านตนเองมักจะได้รับการติดต่อให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ธุรกิจความงาม ซึ่งก็แอบฝันว่าสักวันหนึ่งจะเป็นเจ้าของธุรกิจความงามให้ได้ เมื่อ “เวลา” กับ “โอกาส” ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ไม่เคยรอใครมาถึงเรา จึงตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง โดยได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมลงสนามทำธุรกิจนี้ด้วยตัวเองอย่างครบวงจร ตั้งแต่การค้นคว้าหาข้อมูล ร่วมศึกษางานวิจัย ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ ตลอดจนเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกด้วย 
“นับวันธุรกิจเครื่องสำอางและความงามของไทยจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า คนไทยในยุคนี้ให้ความสำคัญและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์พร้อมทั้งบริการด้านเครื่องสำอางกับความงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งตลาดต่างประเทศยังให้ความสนใจ มีการค้าขายภายในประเทศและมีการส่งออกต่างประเทศสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาลนับหมื่นล้านแสนล้าน ซึ่งจากข้อมูลการจดทะเบียนตั้งธุรกิจประเภทเครื่องสำอางและความงาม ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มีการจดทะเบียนค้าขายธุรกิจประเภทนี้เพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดดและต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มมาจากมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต แม้ว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้จะผันผวนก็ตามที”
อรอนงค์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเครื่องสำอางที่ผลิตออกมานั้นคือ เซรั่มภายใต้แบรนด์ “B-ORN” (บี-อร) ชูจุดขายคือ “B-ORN BORN BEAUTY” (บี-ออน บอร์น บิวตี้) สวยครบจบในขวดเดียว โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องสำอางหลายชนิดบนใบหน้า สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการรวดเร็วทันใจไม่ยุ่งยากซับซ้อนแบบ “ONE STOP SERVICE” ซึ่ง “B-ORN BORN BEAUTY” สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
 “ B-ORN ผลิตโดย บริษัท ออกานิกส์ คอสเม่ จำกัด ราคาจำหน่ายในช่วงโปรโมชั่น 900 บาท ได้รับการวิจัยและค้นคว้าจากสถาบันชั้นนำ มีเลขที่จดแจ้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  นับว่าเป็นวัตกรรมใหม่ของเซรั่มสูตรน้ำที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ช่วยบำรุงผิวหน้าได้อย่างล้ำลึกด้วยสารสกัดออกานิกส์ ซีควอลาเจน (Sequollagen)  จาก ซีควอย่า (Sequoia) ต้นไม้ยักษ์อายุราว  4,000 ปี ที่สามารถลดเลือนริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของชั้นผิวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด”
นางสาวไทย ปี 2535 ได้กล่าวถึงช่องการจัดจำหน่ายว่า ปัจจุบันนี้จะเห็นว่า ในธุรกิจนั้นมีการแข่งขั้นสูงมากไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดนในชั่วพริบตา ดังนั้นตนเองจึงมองเห็นว่า “ออนไลน์” จะเป็นช่องการทางค้าที่สำคัญที่จะช่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เพราะการตลาดออนไลน์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจงได้เวลาอันรวดเร็ว สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราคือช่วงวัยทำงานขึ้นไป หรือคนที่ต้องการดูแลผิวหน้าให้สดใส
“เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจของตลาดอื่นๆ  แล้ว ตลาดออนไลน์มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่ถูกที่สุด ทำให้ผู้ทำธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ แลพนักงานขาย สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีผู้ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 600 ล้านคน ดังนั้นจึงได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดออนไลน์ เพื่อต่อยอดทางธุรกิจต่อไปในอนาคต”

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

รมว.พม. เปิดตัวนวัตกรรมด้านสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุ มุ่ง “สูงวัย หุ่นฟิต พิชิตโรค”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ วันที่ 27 มีนาคม 2561  เวลา 16.00 น.  พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงาน ผู้สูงอายุไทย ก้าวไกล ไทยแลนด์ 4.0 : นวัตกรรมด้านสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุ (Health care innovation for older persons) “สูงวัย หุ่นฟิต พิชิตโรค” โดยมีนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพม. และสมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย สมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ ประจำ กลุ่มเขตในกรุงเทพมหานคร ชมรมผู้สูงอายุ กรมพลศึกษา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และหน่วยงานภาคีเครือข่ายผู้สูงอายุ รวมทั้งประชาชนผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วมงานจำนวน 300 คน ที่บริเวณสนามหญ้าศูนย์ผู้สูงอายุสวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ


พลเอกอนันตพร  กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้ โดยปี พ.ศ. 2564 คาดว่าจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุอยู่ประมาณ 10.78 ล้านคน (ร้อยละ 16.5 ของประชากรทั้งประเทศ) กระทรวงพม. ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจสำคัญด้านสังคม ได้ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลว่าด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ ทางสังคม เปิดโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม.เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างมีหลักประกัน

อีกทั้งได้ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาล “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” และการพัฒนาประเทศไทยภายใต้ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยแนวทาง “สานพลังประชารัฐ” เป็นตัวการขับเคลื่อน โดยประสานพลังความร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) มีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ ทั้งในด้านการจัดสวัสดิการ การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิ และการเตรียมความพร้อมประชากรสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ

รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพมาใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและตอบสนองความต้องการบริการด้านสุขภาพ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข มีสุขภาพที่ดี ปลอดภัย
และได้รับการดูแลในทุกที่ทุกโอกาส อีกทั้งได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศภายใต้ “ไทยแลนด์ 4.0” จึงได้กำหนด Road Map ด้านนวัตกรรมประจำเดือนตลอดทั้งปีงบประมาณ 2561 ภายใต้โครงการ “ผู้สูงอายุไทย ก้าวไกล ไทยแลนด์ 4.0” โดยใช้แนวทางสานพลังประชารัฐที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้าสุขภาพที่เหมาะสมอย่างแพร่หลายและทั่วถึง

สำหรับเดือนมีนาคมนี้ ได้กำหนดจัดงาน “ผู้สูงอายุไทย ก้าวไกลไทยแลนด์ 4.0 : นวัตกรรมด้านสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุ (Health care innovation for older persons) โดยมีกิจกรรมสำคัญ ประกอบด้วย 1) กิจกรรมสาธิตการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ โดยสมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย 2) กิจกรรม 5 ฐาน เพื่อสุขภาพและบริการทดสอบสมรรถนะด้านร่างกาย“ Walk Rally Healthy Free Day” โดยสำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา กรมพลศึกษา 3) กิจกรรมสาธิต การออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ โดยกลุ่มผู้สูงอายุเทศบาลเมืองกระทุ่งล้ม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม

4) นิทรรศการความรู้ด้านสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุ 4 โซน ประกอบด้วย 4.1) สิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมทางสุขภาพ Innovation for health ได้แก่ ที่จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อผู้สูงอายุ ผ้ายกตัวผู้สูงอายุ Application “Doctor Me” เพื่อการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง 4.2) สินค้าเพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ Blackmores ชุดดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ GoodAgeยาสีฟันสมุนไพร นมออร์แกนิค Biowareภาชนะสำหรับผู้สูงอายุ Brace stool เก้าอี้สำหรับผู้สูงอายุและผู้ใช้รถเข็น
3) สมาคมกรีฑาผู้สูงอายุไทย “การเตรียมความพร้อมสมรรถนะด้านร่างกาย”ก่อนวัยสูงอายุ และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) “นิทรรศการให้ความรู้ด้านสุขภาพ : โชคชะตาหรือจะสู้เรากำหนด” และ 4.4) การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ มีการตรวจสุขภาพและวิธีการรับมือกับโรคต่างๆของผู้สูงอายุ

พลเอกอนันตพร กล่าวด้วยว่า การจัดงานครั้งนี้ มุ่งหวังให้ประชาชนตระหนักถึงการสร้างเสริมและดูแลสุขภาพของตนตั้งแต่วัยเยาว์เพื่อส่งผลให้เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี ด้วยพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม และสามารถดูแลตนเองได้ โดยอยู่อย่างยืนยาวและมีความสุข ทั้งนี้ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ และร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการสานพลังประชารัฐเพื่อส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมด้านสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างยั่งยืนต่อไป 


************** 








วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

ลงนามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานคัดแยกและรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์


ลงนามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานคัดแยกและรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561 เวลา 08.30 น. ร้อยเอกธเนศ จันทกลิ่น รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การเข้าร่วม "โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานคัดแยกและรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประจำปี 2561" โดยกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีนายไชยรัตน์ เลี้ยงสุพงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กล่าวรายงาน พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้แทนของสถานประกอบการโรงงานที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อบันทึกข้อตกลงร่วมมือเข้าร่วมโครงการฯ ณ ห้องโมเน่ต์-พิซซาโร่ ชั้น 4 โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์





บ.แม่โขงฯชี้เมล์ NGVผิด TOR ศาลปกครองจ่อหมายเรียก"บิ๊กขสมก."

ภายหลังการประกาศลาออกจากประธานบอร์ด ขสมก.ของนายณัฐชาติ จารุจินดา กลางที่ประชุมบอร์ด ขสมก.เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 61 ที่ผ่านมาโดยให้เหตุผลว่า มีปัญหากับบอร์ด ขสมก.บางคน ที่คัดค้านในทุกเรื่องและยังนำข้อมูลออกไปสู่สาธารณะชนทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและถอดใจ นอกจากนี้ในเนื้อหาข่าวยังกล่าวถึงนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ว่า อาจใช้โอกาสนี้เสนอครม.ปลดบอร์ดขสมก.แบบยกชุด จากนั้นจะแต่งตั้งนายณัฐชาติกลับมาอีกครั้งพร้อมกรรมการชุดใหม่นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 25 มี.ค.61 ว่า  นายสุรดิษฐ์ ศรีดามาส กรรมการบริษัท แม่โขงเทคโนโลยี่ จำกัดให้สัมภาษณ์ผ่านเพจดัง”สืบจากข่าว” โดยมีนายสุวิทย์ บุตรพริ้ง ผู้สื่อข่าวรางวัลพระราชทานเทพทองโดยนายสุรดิษฐ์ เปิดประเด็นว่า การลาออกของนายณัฐชาติ มองได้เป็น 2 ประเด็น คือ 1.ผลงานการจัดซื้อรถเอ็นจีวี.สำเร็จลุล่วง 2.ลาออกเพื่อให้ครม.ปลดบอร์ด ขสมก.ยกชุดแล้วแต่งตั้งเฉพาะบุคคลที่สั่งได้มาใหม่ และนายณัฐชาติ กลับมานั่งประธานบอร์ด ขสมก.อีกครั้ง

โดยนายสุรดิษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าคนที่อึดอัดและถอดใจควรจะเป็นบอร์ดหลายๆคนที่ไม่เห็นด้วยกับการอ้างมติบอร์ด  รับรองผลโหวตจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน อันเป็นเท็จและยังดันทุรังไม่ฟังเสียงคัดค้านจากบอร์ดเสียงส่วนใหญ่มากกว่า เพราะพฤติกรรมของนายณัฐชาติ เอาแต่ใจไม่สนใจข้อกฏหมายระเบียบปฎิบัติต่างๆและไม่ฟังเสียงคัดค้านจากบอร์ดเสียงส่วนใหญ่แถมยังเอามาเป็นสาเหตุของการลาออกบ่งบอกถึงการไม่ให้เกียรติบอร์ดที่เห็นต่างจากตัวเอง นายณัฐชาติ คงลืมว่ากรรมการฯทุกท่านคือผู้ทรงคุณวุฒิผ่านการคัดสรรและแต่งตั้งโดย ครม. ซึ่งการบอกกับสื่อมวลชนว่ามีปัญหากับบอร์ดบางท่านนั้น เหมือนการดูถูกศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของผู้ทรงคุณวุฒิถ้าเป็นอย่างนี้ ขสมก.ก็ไม่สมควรมีบอร์ดอีกต่อไป เพราะเหตุแห่งการลาออกของนายณัฐชาติตีความแล้วทำให้คิดได้ว่า กรรมการบางท่านคืออุปสรรคเป็นตัวถ่วงความเจริญของ ขสมก.



“ถ้าผมเป็นบอร์ด จะจับมือกันออกมาแถลงข่าวเปิดเผยเรื่องเน่าๆภายใน ขสมก.ให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริงจะไม่นอนรอให้มีคำสั่งปลดแบบล้างบาง อย่างน้อยก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองและปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดิน ดีกว่าอยู่เงียบๆให้เค้าดูถูกครับ”นายสุรดิษฐ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องการตรวจรับรถเมล์เอ็นจีวี.ล๊อตนี้เบื้องต้นเจอปัญหาหลายรายการเช่น 2-3 ข้อตามที่บ.ช ทวี ได้แจ้งว่าจะส่งมอบให้ ขสมก.นำเข้าตัวถังมาจากจีนมาประกอบในไทยบางส่วนเช่น ถังก๊าซ เกียร์และแอร์ คำถามคือ ตาม TOR กำหนดไว้ในข้อ 5.12 “ ผู้เสนอราคาต้องแจ้งว่าใช้โรงงานใดประกอบรถโดยสาร หากเป็นโรงงานต่างประเทศต้องแนบสำเนาหนังสือรับรองมาตราฐาน ISO 9001 หากเป็นโรงงานในประเทศต้องแนบหนังสือรับรองมาตราฐาน ISO 9001 และสำเนาใบอนุญาตของโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเอกสารประกอบ”

อย่างไรก็ตามตอนที่ยื่นเอกสารเสนอราคาบริษัท ช ทวี ยื่นเอกสารว่าใช้โรงงานประกอบรถในประเทศหรือต่างประเทศกันแน่ โดยเฉพาะในสัญญาได้ระบุโรงงานประกอบและผลิตที่ไหนกันแน่ เพราะว่าตาม Name Piate ที่ติดมากับตัวรถระบุชัดเจนว่า Made in chainaโดยบริษัท Jianxi Kama Business Bus หากสัญญาระบุแค่โรงงานผลิตซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยที่เดียวก็จะผิดสัญญา เหมือนกับเหตุผลที่ ขสมก.บอกยกเลิกสัญญากับบริษัทเบสทริน ซึ่งในสัญญาระบุว่า “ รถผลิตที่ประเทศจีนประกอบที่ประเทศมาเลเซีย” แต่ ขสมก.อ้างว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ต้องถือว่าผิดสัญญา

นายสุรดิษฐ์ กล่าวต่อว่า หากว่าในสัญญาระหว่าง ขสมก.กับ ช ทวี ระบุเฉพาะโรงงานประกอบที่ประเทศไทย แต่กลับปรากฏชัดเจนว่า Name Piate ระบุว่า Made in chaina จะเข้าข่ายผิดสัญญาขสมก.ต้องยกเลิกสัญญา ไม่เช่นนั้นจะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเลือกปฏิบัติ 

"เมื่อพูดถึง ISO 9001 ของโรงงานก็มีอีกข้อใน TOR คือข้อ 2.6 “ภายในห้องโดยสารมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารออกแบบให้โค้งเว้ารับสรีระท่านั่งมีความสวยงาม แข็งแรง และนุ่มสบาย โดยในส่วนของเบาะที่นั่งและพนักพิง บุด้วยฟองน้ำหนาและหุ้มด้วยหนังเทียม ความหนาของเบาะที่นั่งและพนักพิงในตำแหน่งบางสุดไม่น้อยว่า 3 เซนติเมตรบุด้วยฟองน้ำหรือโฟมชนิดหนา มีความหนาแน่นไม่น้อยกว่า 33 บวกลบ 3
กก./ ลบ.เมตร และต้องเป็นวัสดุไม่ลามไฟและไม่ก่อให้เกิดควันพิษเมื่อได้รับความร้อน”  แต่ปรากฏว่ารถโดยสารของ ช ทวี ยี่ห้อ Bonluck เบาะที่นั่งส่วนที่บางสุดวัดได้แค่ 1.5 เซนติเมตร ซึ่งผิดสเปกตามข้อกำหนดใน TOR ชัดเจน"นายสุรดิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกประเด็นและว่าหากคณะกรรมการตรวจรับจะตะแบง คงต้องไปเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตดู จะเห็นความหมายของคำว่าเบาะ “เครื่องรองรับที่มีลักษณะนุ่ม” ซึ่งไม่ได้หมายถึงกรอบและฐานรองที่นั่งด้วยแน่นอน ที่ดักคอไว้ก่อนเพราะได้ยินมาว่า คณะกรรมการเตรียมจะหาช่องช่วยเอกชน "ถ้าทำจริงๆผมยืนยันว่า คุก แน่นอนครับ"

นายสุรดิษฐ์ กล่าวด้วยว่า  อีกเรื่องคือ ป้ายจอแสดงเส้นทางที่หน้าและท้ายรถโดยสาร ที่ออกมาแบบ Over Spac ที่จริงแล้วขนาดเท่ากับรถโดยสารยี่ห้อ Sunlong ที่เบสทรินนำเข้า  แถมสเปกข้อ 9.3.1 ระบุว่า “ป้ายอิเล็กทรอนิกส์บอกหมายเลขเส้นทางและชื่อต้นทาง ปลายทาง ติดตั้งด้านหน้าและด้านหลังรถขนาดกรอบไม่น้อยกว่า 20 คูณ 120 เซนติเมตร แสดงตัวอักษรวิ่งขนาดความสูง 15 เซนติเมตร “แต่รถของ ช ทวี ป้ายด้านหน้ารถตรงตาม TOR แต่ป้ายหลังรถไม่ตรงสเปกมีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด จึงขอฝากเตือนสติประธานกรรมการตรวจรับฯ ขอให้ตรวจสอบให้ละเอียด ไม่งั้นจะเจอกันในศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันเดียวกัน( 22 มี.ค.)ศาลปกครองกลางได้มีหมายแจ้งขสมก.คดีหมายเลขดำที่ 709/2561  ระหว่างบริษัท สยามสแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ฟ้องขสมก.ไปให้ถ้อยคำต่อศาลในประเด็นเกี่ยวกับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากมติที่ประชุมครั้งที่ 16/2560 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560   บริษัทเดียวกันยังแจ้งความร้องทุกข์ไว้อีกคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง รวมทั้งบริษัทแม่โขงเทคโนโลยี่จำกัดและนายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.ได้ยื่นหลักฐานสำคัญคือบันทึกรายงานการประชุมที่บอร์ดมีมติเห็นชอบให้ซื้อรถเมล์ให้นายกรัฐมนตรีรับทราบพร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ที่ ปปช.แล้วเช่นกัน

 ******************

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทีมฅนรักถิ่น ร่วมงานประเพณี 18 มีนา สุขาภิบาลท่าฉลอม (วันท้องถิ่นไทย) 2561


18 มีนา สุขาภิบาลท่าฉลอม (วันท้องถิ่นไทย)
เทศกาลนครอาหารทะเล

นายชุมพล (ตู่) จันทร์จรัสวัฒนา อดีตรองนายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร พร้อมทีมฅนรักถิ่น เข้าร่วมงานประเพณี 18 มีนา สุขาภิบาลท่าฉลอม (วันท้องถิ่นไทย) 2561 และร่วมเปิดโครงการเทศกาลนครอาหารทะเล ณ บริเวณวัดสุทธิวาตวราราม (วัดช่องลม) พระอารามหลวง ณ ถนนถวาย ต.ท่าฉลอม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร






‘พลังรวมใจ’ เลี้ยงอาหารกลางวันที่โรงเรียนบ้านสันดาบ


วิเชียร วิวัฒนขจรสุข ประธานชมรมพลังรวมใจสมุทรสาคร  , นายพิชยา เจริญสุกใส รองประธานชมรมพลังรวมใจสมุทรสาคร , นิวัฒน์ มาลากุล เลขาชมรมพลังรวมใจสมุทรสาคร   นายสินเจริญชัย ตั้งสิริมิตร ผู้บริหาร บ.สินเจริญชัย โฟรเซนฟู้ด , พร้อมหมู่มวลสมาชิกชมรมพลังรวมใจสมุทรสาคร นำอาหารกลางวันมาเลี้ยงเด็กๆ  โรงเรียนบ้านสันดาบ.  หมู่ 1 ต.โคกขาม อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร










พระสมเด็จวัดระฆังหลังค้อน โดยดร.สุนทร วัฒนาพร



พระสมเด็จ วัดระฆัง หลังค้อน เป็นพระเนื้อโลหะผสม องค์พระมีขนาดเล็กกะทัดรัด กว้างประมาณ ๑.๒ ซม. สูงประมาณ ๑.๗ ซม. พระชุดนี้สร้างโดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณฉันทมหาเถร (เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) เจ้าอาวาสวัดระฆัง พระสมเด็จวัดระฆังหลังค้อนมีการเล่าขานมาแต่ในอดีตว่าเด่นในเรื่องคงกระพันชาตรีและแคล้วคลาดปลอดภัยเดินทางปราศจากอุบัติภัยในเรื่องสิ่งเร้นลับนี้ผู้เขียนไม่กล้ายืนยันเพราะเป็นเรื่องพบได้เฉพาะตนไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้สร้าง พระสมเด็จวัดระฆัง หลังค้อนเมื่อปี ๒๔๕๓-๒๔๕๗ ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม (ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" เมื่อปี ๒๔๖๔)  ต่อมาท่านได้สร้างพระสมเด็จพิมพ์เดียวกันนี้ อีกครั้งช่วงปี ๒๔๕๘-๒๔๗๐ โดยได้นำแผ่นโลหะที่พระอาจารย์ต่างๆ ได้ลงอักขระมาหลอมหล่อรวมกับชนวนพระพุทธชินราช (จำลอง) ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ )ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เป็นเชื้อชนวนในการสร้างพระสมเด็จ วัดระฆัง หลังค้อน

พระที่สร้างในคราวแรกมีกระแสเหลืองออกทองลูกบวบส่วนพระที่สร้างในคราวหลังช่วงปี ๒๔๕๘-๒๔๗๐ จะมีสีอ่อนกว่า แต่วงการนักสะสมพระเครื่องมิได้มีการแบ่งแยกรุ่นแรก รุ่นหลังกันอย่างชัดเจนนัก เพราะว่าค่อนข้างจะแยกกันได้ยาก

สำหรับพระคณาจารย์ที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกในสมัยนั้น มีจำนวนถึง ๖๐ รูป อาทิเช่นหลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก, หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง, หลวงพ่อชู วัดนาคปรก, หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ, หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม, หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม, หลวงพ่อฉุย วัดคงคาราม, หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก, หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว, หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน, สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม, หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน, หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เป็นต้น (รายชื่อพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกมาจากบันทึกประวัติที่ พระราชธรรมภาณี รองเจ้าอาวาสวัดระฆัง เมื่อปี ๒๕๑๓ ซึ่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์  (เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน)

การสร้างพระสมเด็จวัดระฆังเนื้อโลหะทองผสมรุ่นนี้ เริ่มด้วยการส่งแผ่นทองเหลืองไปถวายพระอาจารย์ต่างๆ ทั้งใน จังหวัดพระนคร (กทม.) ธนบุรี และต่างจังหวัด จำนวนมากให้ท่านลงจารอักขระเลขยันต์ แล้วส่งคืนกลับมา เมื่อรวมแผ่นทองเหลืองที่ลงเลขยันต์เสร็จแล้ว จึงเริ่มพิธีโดยอาราธนาพระเถรานุเถระผู้ทรงวิทยาคุณ ทำพิธีปลุกเสกแผ่นทองเหลือง ที่จะหล่อหลอมเทเป็นองค์พระ เมื่อเททองเป็นองค์พระสมเด็จฯแล้ว จึงเลื่อยออกเป็นกิ่งๆ จากแกนชนวน แล้วจึงเลื่อยตัดออกเป็นแท่งลักษณะของแท่งพระ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างประมาณ ๓ ซม. ความยาวประมาณ ๕ ซม.ความหนาประมาณ ๐.๕ ซม. หลังจากเลื่อยตัดจากช่อแล้ว พระแต่ละองค์จะติดกันเป็นแพ ต้องใช้เลื่อยเฉือนบากออกตรงรอยต่อระหว่างองค์ แล้วใช้ค้อนเคาะกระแทกให้องค์พระแต่ละองค์แยกออกจากกันจึงเป็นที่มาของชื่อพระว่าหลังค้อน
พระบางองค์อาจจะมีรอยค้อนกระแทกยุบลงไปบ้าง บางองค์ก็ไม่มี จะมีก็แต่เพียงรอยตะไบแต่งเท่านั้น

ลักษณะพิมพ์พระประทับนั่งปางสมาธิ บนอาสนะบัว ๒ ชั้น
ในซุ้มครอบแก้วด้านหลังองค์พระเป็นปรกโพธิ์ลักษณะเป็น เม็ดกลม รายรอบเหนือพระเศียรด้านหลังเรียบ สมัยก่อนแบ่งออกเป็น ๒ แบบ แบบหนึ่งไม่ได้ขัดแต่ง ให้ทำบุญองค์ละ ๑ บาท อีกแบบเป็นพระขัดแต่ง ให้ทำบุญองค์ละ ๒ บาทปัจจัยทำบุญนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้รวบรวมนำไปบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญ และพระอุโบสถ

ทุกวันนี้ พระสมเด็จวัดระฆัง หลังค้อน ได้กลายเป็นของดีที่มีผู้แสวงหากันมาก สนนราคายังไม่สูงเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับพุทธคุณหากมีโอกาสควรจะได้หาไว้ใช้บูชาติดตัวสักองค์หนึ่ง เป็นพระเครื่องสายวัดระฆังที่น่าสนใจสะสมบูชาเป็นอย่างยิ่ง
ข้อควรระวังคือพระปลอม ซึ่งมีการสร้างปลอมกันขึ้นนานมาแล้ว หลายฝีมือด้วยกัน หนทางที่ปลอดภัย ก็ต้องหาเช่าจากผู้ที่รู้จริง และมีความจริงใจต่อกัน สำคัญที่สุดคือ ต้องรับประกันให้ด้วย หากเป็นพระเก๊ต้องรับคืนเต็มจำนวนเงินทันที เนื้อที่คอลัมน์หมดลงแล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ/
ดร.สุนทร วัฒนาพร /เรียบเรียง









การจัดการขยะโดยนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า


การจัดการขยะใน Sweden
          
          สวีเดนกับการประสบความสำเร็จในการจัดการขยะและเพิ่มการนำเข้าขยะเพื่อพลังงานผลิตความร้อนและไฟฟ้าทั่วโลกหันมารณรงค์ในการรักษาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นสวีเดนเป็นประเทศที่มีกระแสรักษ์โลกอันดับต้นๆของ    โลกและประสบความสำเร็จมากในการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์โดยการจัดการขยะสู่พลังงานจากแหล่งข่าวนิตยสาร Fast Company วันที่ 23 ตุลาคม 2555 กล่าวว่าสวีเดนประสบความสำเร็จในการนำขยะมาใช้ประโยชน์เพื่อผลิตพลังงานอย่างมากจนเหลือขยะเพียงแค่ร้อยละ 4 ของขยะทั้งหมดที่เป็นส่วนเหลือในการขุดหลุมฝังกลบ
นับว่าเป็นตัวเลขที่น่ายินดีกับประเทศมากแต่ในทางกลับกันสวีเดนกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ คือสวีเดนไม่มีขยะเพียงพอในการใช้เป็นพลังงานในการเปลี่ยนแปลงขยะเป็นพลังงานการแก้ปัญหาของประเทศสวีเดนปัจจุบันคือ นำเข้าขยะ โครงการเผาขยะของสวีเดนเพื่อใช้เป็นพลังงานสร้างกระแสไฟฟ้าสำหรับบ้านกว่า 250,000 หลัง พลังงานทั้งหมดเกิดจากการเผาไหม้ขยะในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบผลในประเทศต่างๆ ทั่วโลกซึ่งเป็นความร่วมมือกันจาก 3 ส่วนใหญ่ในสังคม ได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าละอุตสาหกรรมที่รับผิดชอบการจัดการขยะ ปัจจุบันสวีเดนมีโรงงานเผาขยะมากกว่า30 แห่งทั่ว ประเทศ ในปี 2555 คาดว่าสวีเดนกำลังจัดการการเผาขยะได้อีกหลายเท่าตัวในภาวะที่ราคาพลังงานจากน้ำมันยังมีราคาสูงและพลังงานทางเลือกอื่นๆเช่นพลังงานปรมาณูยังเป็นที่ถกเถียงกันเป็นต้น