pearleus

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากหาวิทยาลัยศิลปากร ประจำปีการศึกษา 2558 ที่จังหวัดนครปฐม


เมื่อ 30 ธันวาคม 2559 เวลา 09.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ประจำปีการศึกษา 2558 ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม นายกสภามหาวิทยาลัยศิลปากร กรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการศูนย์ สถาบัน สำนัก อาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษา เฝ้าฯ รับเสด็จ

          ในการนี้ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับในปีนี้ มีนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก จำนวน 5,538 คน และมีผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ได้แก่ นายชวลิต เสริมปรุงสุข ศิลปดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาทัศนศิลป์ , รองศาสตราจารย์กรรณิการ์ วิมลเกษม ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาจารึกการศึกษา , รองศาสตราจารย์พรรณเพ็ญ ฉายปรีชา ศิลปดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ และนายประทักษ์ ใฝ่ศุภการ ดุริยางคศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาดนตรีแจ๊ส เกียรติบัตรศาสตราจารย์เกียรติคุณ ได้แก่ ศาสตราจารย์วิชัย สิทธิรัตน์ , ศาสตราจารย์กัญญา เจริญศุภกุล และศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ และประกาศเกียรติคุณผลงานวิจัยดีเด่น ได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง

          โอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราโชวาท ความว่า "บัณฑิตทั้งหลายต่างก็ได้รับปริญญาเป็นเครื่องรับรองความรู้ และได้กล่าวคำปฏิญาณว่าจะใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ นับเป็นการให้คำมั่นสัญญาที่มีคุณค่ามาก แต่การที่จะปฏิบัติตามคำปฏิญาณให้ได้จริงนั้น บัณฑิตต้องยึดมั่นในสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องมีประกอบส่งเสริมกับความรู้เสมอไป ไม่อาจแยกขาดจากกันได้  สิ่งสำคัญที่ว่านี้ ก็คือคุณธรรม อันเป็นเครื่องกำกับควบคุม ให้แต่ละคนใช้ความรู้ด้วยความระมัดระวังรอบคอบ และชี้ชัดตัดสินว่าควรนำความรู้ไปใช้อย่างไรให้สำเร็จผลเป็นประโยชน์แท้ หากขาดคุณธรรมคอยประคับประคองป้องกัน ก็มีโอกาสที่คนเราจะใช้ความรู้ไปในทางชั่วทางเสื่อม ซึ่งนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแล้ว ยังกลับเป็นโทษเป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่นด้วย จึงขอให้บัณฑิตทุกคนสร้างสมอบรมคุณธรรมให้เจริญงอกงามควบคู่กับความรู้ จะได้สามารถรักษาคำสัตย์ปฏิญาณอันได้กล่าวไว้ ตลอดจนสร้างสรรค์ประโยชน์ตน ประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างสมบูรณ์"















สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรงานชัยพัฒนาแฟร์ ณ โครงการอุทยานการอาชีพชัยพัฒนา จังหวัดนครปฐม




เมื่อ 30 ธันวาคม 2559 เวลา 15.27 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการอุทยานการอาชีพชัยพัฒนา ตำบลบ่อพลับ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ทอดพระเนตรงานชัยพัฒนาแฟร์ ซึ่งมูลนิธิชัยพัฒนาจัดขึ้น เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อพสกนิกร ผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ภายในงานจัดแสดงนิทรรศการความเป็นมาของมูลนิธิชัยพัฒนา รวมถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีโครงการฯที่น่าสนใจ อาทิ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแก้มลิง แก้ปัญหาน้ำท่วม และโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ นอกจากนี้ มีการจัดแสดงระบบภูมิสารสนเทศ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้อัพเดตข้อมูลความก้าวหน้าของโครงการฯ ในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบันมีมากถึง 60 โครงการฯทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ ยังมีการออกร้านจำหน่ายอาหาร พืชผักสด ของร้านจันกะผัก และผลิตภัณฑ์ภัทรพัฒน์ เช่น น้ำมันเมล็ดชาสบู่น้ำนมข้าว และยาหม่องสมุนไพร นอกจากนี้ มีการออกร้านของโครงการพัฒนาพื้นที่มูลนิธิชัยพัฒนาในเขตภาคกลาง ภาคใต้ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ โดยได้นำกิจกรรมที่โดดเด่นและน่าสนใจมาจัดแสดง สาธิต และจำหน่าย อาทิ สาธิตการทำไอศกรีมกระจับการทำสบู่จากกลีเซอรีน และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปทั้งของกินของใช้ จากพืชผักและสมุนไพรในโครงการฯ
          จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องประชุมอาคารปฐมสัมมาคาร พระราชทานพระราชวโรกาสให้ประธานผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้นำการพัฒนาอย่างยั่งยืน รุ่นที่ เฝ้าทูลละอองพระบาท กราบบังคมทูลรายงานการจัดทำโครงการ "ฟ้าจรดน้ำ" โดยคณะผู้เข้าอบรมได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีผู้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยได้น้อมนำพระอัจฉริยภาพทั้ง ด้าน มาเป็นแนวทางการพัฒนา ในการนี้พระราชทานวุฒิบัตรแก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้นำการพัฒนาอย่างยั่งยืน รุ่นที่ จำนวน 36 คน ซึ่งมูลนิธิฯจัดขึ้นเพื่อสร้างผู้นำด้านต่างๆให้เพียบพร้อม ทั้งคุณธรรม จริยธรรม มีความสามารถ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน และนำมาซึ่งเครือข่ายแห่งการทำความดี โดยได้น้อมนำหลักการทรงงาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นกรอบในการจัดทำหลักสูตร














หัวหินทีค และตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม ได้จัดงาน เปิดตัวแพคเกจ นั่งช้าง ล่องเรือ ชมโขน

 

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 59 หัวหินทีค โชว์สัตว์แสนรู้และตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม ได้จัดงาน เปิดตัวแพคเกจ นั่งช้าง ล่องเรือ ชมโขน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพ แหล่งท่องเที่ยวให้กับอำเภอหัวหิน โดยมีท่าน ผู้มีเกียรตินายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรี  เทศบาลเมืองหัวหิน  นายนุกุล วัฒนากร  ปลัดอำเภอหัวหิน  นางอรสา อาวุธคม  ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ และนายประสงค์ โกมุก นายสถานีรถไฟหัวหิน ที่ให้เกียรติเข้าร่วมงานครั้งนี้

เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจสภาพ อาคาร สิ่งปลูกสร้างที่บุกรุกพื้นที่ชายหาดหัวหิน

 

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2559 นายรุจน์ประทีป ธรรมรพีภัทร์ นายอำเภอหัวหินพ.ต.ท.เสมอ อยู่สําราญ รอง ผกก.ป.สภ. หัวหิน พร้อม เจ้าหน้าที่เทศบาล ทหาร  ลงพื้นที่สำรวจสภาพ อาคารริมชายหาดหัวหิน ตั้งแต่สะพานปลา ถึง ศาลเจ้าแม่ทับทิม รวม 40 อาคาร ในเขต เทศบาลเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
โดยแบ่งชุดการทำงาน 8 ชุด เก็บข้อมูลพื้นที่ รังวัดสิ่งปลูกสร้าง เพื่อประเมินมูลค่า และ ระยะเวลารื้อถอน หากเจ้าของอาคาร ไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ภายในช่วง 45 วัน หลังการติดประกาศของอำเภอหัวหิน เจ้าหน้าที่จะรื้อถอนให้โดยเจ้าของอาคาร ต้องเสียค่าใช้จ่าย และหลังการรื้อถอนแล้วอำเภอและเทศบาลเมืองหัวหิน จะปรับปรุง ภูมิทัศน์เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ได้

วันที่ 2 ของการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่ 2560 จังหวัดนครปฐม ยังไม่มีผู้เสียชีวิต


 นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลเทศกาลปีใหม่ ประจำปี2560 จังหวัดนครปฐม ได้สรุปผลการปฏิบัติงานวันที่ 30 ธันวาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ 2ของการรณรงค์ ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจรเกิดอุบัติเหตุ 11 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 14 คน และยังไม่มีผู้เสียชีวิต อำเภอที่มีผู้บาดเจ็บในวันที่สองของการรณรงค์ ได้แก่ อำเภอกำแพงแสน ราย รองลงมาอำเภอเมืองนครปฐม ราย อำเภอนครชัยศรี ราย และอำเภอบางเลน ราย รวมสองวันของการรณรงค์ เกิดอุบัติเหตุสะสม 23 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 27 ราย

สำหรับสถิติการเกิดอุบัติเหตุในวันที่สองของการรณรงค์ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา จำนวนการเกิดอุบัติเหตุลดลง ครั้ง จำนวนผู้บาดเจ็บลดลง4 ราย จำนวนผู้บาดเจ็บลดลง ราย อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเมาสุรา ขับรถเร็วเกินกำหนด ตัดหน้ากระชั้นชิด

 ส่วนยานพาหนะที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถมอเตอร์ไซค์ และจักรยาน อำเภอที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด คือ อำเภอเมืองนครปฐม จำนวน 10 ครั้ง รองลงมา คือ อำเภอกำแพงแสน ครั้ง อำเภอสามพราน ครั้ง อำเภอนครชัยศรี และอำเภอบางเลน ครั้ง ส่วนอำเภอดอนตูม และอำเภอพุทธมณฑล ยังไม่มีการเกิดอุบัติเหตุ

อำเภอที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด คือ อำเภอเมืองนครปฐม จำนวน 10 ราย รองลงมา คืออำเภอกำแพงแสน 8 ราย อำเภอสามพราน ราย อำเภอนครชัยศรี ราย อำเภอบางเลน ราย ส่วนอำเภอดอนตูม และอำเภอพุทธมณฑลยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ในส่วนของการตั้งจุดตรวจหลัก ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2559 มีผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดตรวจ ประกอบด้วยตำรวจ ขนส่ง อปพร. กำนัน/ผู้ใหญ่ บ้าน ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสาธารณสุข จำนวน 14 จุดตรวจ มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 684 คน โดยได้ทำการเรียกตรวจยานพาหนะตามมาตรการบังคับใช้กฎหมาย จำนวน 5,027 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรการ จำนวน 1,280 คัน เนื่องจาก ไม่สวมหมวกนิรภัย 283 ราย มอเตอร์ไซต์ดัดแปลง 129 ราย เมาสุรา 63ราย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 195 ราย ไม่มีใบขับขี่ 311 ราย ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 85ราย ขับรถย้อนศร 139 ราย แซงในที่คับขัน 21 ราย และใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถ 51 ราย
……………………………………….
ชุติมา ลีนุกูล /ข่าว

กระทรวงมหาดไทยห่วงใยประชาชนที่สัญจรทางน้ำในช่วงเทศกาลปีใหม่

กระทรวงมหาดไทยห่วงใยประชาชนที่สัญจรทางน้ำในช่วงเทศกาลปีใหม่ สั่งเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยตรวจสอบโป๊ะ ท่าเรือ ท่าเทียบเรือให้มีความแข็งแรงปลอดภัย พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที

     เมื่อ 31ธ.ค.59 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เปิดเผยว่า ตามที่กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้แจ้งให้ทุกจังหวัดดำเนินการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนในช่วงปีใหม่ 2560 โดยเฉพาะการดูแลความปลอดภัยในการเดินทางทั้งการสัญจรทางบกและทางน้ำ

     เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุและดูแลความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำให้มีมาตรฐานความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น กระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งกำชับให้ทุกจังหวัดดำเนินการตามแนวทางและมาตรการรักษาความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 เพิ่มเติมดังนี้ ด้านสถานที่ บริเวณท่าเรือ ท่าเทียบเรือ โป๊ะเทียบเรือ ให้ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง หรือความชำรุดของโป๊ะ ท่าเรือ ท่าเทียบเรือ และปรับปรุงซ่อมแซมให้มีความแข็งแรงก่อนใช้งาน ให้มีที่กั้นทางขึ้น - ลงโป๊ะเทียบเรือ เพื่อควบคุมจำนวนคนไม่ให้ลงไปเกินกว่าจำนวนที่โป๊ะจะรับน้ำหนักได้ มีป้ายระบุจำนวนคนที่โป๊ะสามารถรับน้ำหนักได้ที่มองเห็นอย่างชัดเจน ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างให้เพียงพอ พร้อมจัดให้มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต ห่วงชูชีพ เชือก  จัดเจ้าหน้าที่คอยควบคุมไม่ให้ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวลงไปบนโป๊ะเทียบเรือเกินกว่าจำนวนที่กำหนดและคอยให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย

  ด้านเรือและอุปกรณ์ความปลอดภัย ให้ประสานผู้ประกอบการดำเนินการตรวจสอบเรือ และความปลอดภัยในการเดินเรือทั้งสภาพเรือ เครื่องจักรเรือให้พร้อมใช้งานอย่างสม่ำเสมอ จัดเตรียมอุปกรณ์ประจำเรือ เช่น เสื้อชูชีพ เบาะที่นั่งชูชีพ ห่วงชูชีพ เครื่องมือดับเพลิงให้มีความพร้อมใช้งานได้ทันที บนเรือต้องติดตั้งป้ายระบุจำนวนคนโดยสารให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ไม่บรรทุกเกินกว่าจำนวนที่ได้กำหนดไว้ในใบอนุญาตใช้เรือ และห้ามผู้ควบคุมเรือดื่มสุราหรือเสพของมึนเมาโดยเด็ดขาด ตลอดจนต้องควบคุมดูแลมิให้ผู้โดยสารกระทำการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเอง หรือผู้โดยสารคนอื่นด้วย

    ด้านการให้ความช่วยเหลือเมื่อประสบอุบัติเหตุทางน้ำ ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตรวจตราความปลอดภัย ทางน้ำ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนนิยมสัญจร หรือท่องเที่ยวทางน้ำให้มีการออกตรวจตราความปลอดภัยตามเส้นทางน้ำ ท่าเรือ ท่าเทียบเรือ โป๊ะเทียบเรือ และ ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างสม่ำเสมอ กรณีจำเป็นให้ประสานขอรับการสนับสนุนเรือตรวจการณ์ เรือกู้ภัย พร้อมชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต หรือ ERT ของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงาน และเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางน้ำให้จัดทีมกู้ภัยทางน้ำเข้าช่วยเหลือและจัดส่งทางการแพทย์ตามขั้นตอนในทันที และรายงานสถานการณ์ - การช่วยเหลือให้ส่วนกลางทราบทุกระยะจนกว่าสถานการณ์จะยุติ

       ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประชาชนที่จะสัญจรทางน้ำ กระทรวงมหาดไทยขอแจ้งข้อปฏิบัติและคำแนะนำสำหรับประชาชนในการสัญจรทางน้ำ โดยขอให้สวมเสื้อชูชีพทุกครั้งขณะลงเรือ และแต่งกายอย่างเหมาะสมต่อการสวมใส่ สามารถถอดออกได้อย่างรวดเร็ว การลงเรือให้ยืนคอยบนท่าเทียบเรือก่อน ไม่ควรยืนรอบนโป๊ะเทียบเรือ ระมัดระวังไม่แย่งขึ้น - ลงเรือ ไม่ดื่มสุราหรือของมึนเมาเพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทูตอินโดฯพร้อมคณะเข้าขอบคุณพม. ที่ช่วยเหลือหญิงชาวอินโดฯที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวในไทย


                 เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.59 เวลา 14.00 น. ที่ห้องรับรองปลัดกระทรวงฯ ชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)พร้อมด้วยนายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดี กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Ahmad Rusdi เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย พร้อมคณะ ประกอบด้วย Mr. Priyo Waseso ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ  Mrs. Shanti U.retnamingsi หัวหน้ากงสุล และนางอัมพร สนะฟี เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ในโอกาสที่เข้าพบเพื่อขอแสดงความขอบคุณ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่ดำเนินการช่วยเหลือหญิงชาวอินโดนีเซียที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวในราชอาณาจักรไทย
                   นายไมตรี กล่าวว่า ตามที่ ศูนย์ปฏิบัติการกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (ศปก. สค.) ได้รับการประสานส่งต่อ   จากมูลนิธิผู้หญิง และสถานทูตอินโดนีเซีย กรณี Mrs. A (นามสมมุติ) หญิงชาวอินโดนีเซีย ถูก Mr. B (นามสมมุติ) สามีต่างสัญชาติใช้ความรุนแรงด้วยการทำร้ายร่างกายและจิตใจ  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้พิจารณาเห็นว่ากรณีดังกล่าว เป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วย   ความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 และเกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย มีผลตามกฎหมาย จึงเร่งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาด้านอารมณ์และจิตใจ พร้อมทั้งให้คำแนะนำปรึกษาการช่วยเหลือ  แนะนำดำเนินการด้านกฎหมาย  ตลอดจนการประสานงานและอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ  ซึ่งต่อมา นางอัมพร สนะฟี เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายสถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ได้ประสานมายัง ศปก. สค. ว่า H.E. Mr. Ahmad Rusdi เอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย ขอแสดงความขอบคุณและความประทับใจ  ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่ดูแลผู้รับบริการหญิงชาวอินโดนีเซียดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้รับ   รายงานว่า มีหลายกรณีที่ชาวอินโดนีเซียได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จึงได้เดินทางมาแสดงความขอบคุณด้วยตัวเอง
 นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า จากกรณีดังกล่าว นับเป็นส่วนหนึ่งที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว โดยมีรูปแบบ และวิธีการทำงานที่หลากหลาย ทั้งการรณรงค์ปรับทัศนคติ การให้ความรู้ทางกฎหมาย สิทธิ และการคุ้มครองทางกฎหมายที่รัฐจัดให้กับประชาชน การสร้างระบบรับแจ้งเหตุ   และกระบวนการช่วยเหลือที่เป็นระบบ ตลอดจนการพัฒนาระบบกฎหมาย มาตรการ กลไก และพัฒนาศักยภาพพนักงานเจ้าหน้าที่  ที่เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ใช้กลไกในทุกระดับเพื่อรณรงค์สร้างกระแส “ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรง ต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว”เริ่มตั้งแต่ระดับชุมชน เฝ้าระวัง ป้องกันแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ชุมชน ให้ความรู้ด้านกฎหมายช่องทางการช่วยเหลือปรับทัศนคติคนในชุมชน เยาวชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะ ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) เพื่อให้พื้นที่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ตามสถานการณ์  ของพื้นที่ โดยมีเป้าหมายคือ ลดความรุนแรงในครอบครัว โดยกระบวนการของภาคประชาสังคมและสหวิชาชีพในพื้นที่ ระดับภูมิภาค จังหวัด : One roof แก้ไขปัญหาความรุนแรง : ทำงานแบบสหวิชาชีพ การสร้างเครือข่ายการทำงานบูรณาการความร่วมมือกับท้องถิ่น รัฐ เอกชน ประชาสังคม สื่อมวลชน จนถึงระดับชาติ ประชารัฐร่วมใจ ไร้ความรุนแรง การปรับทัศนคติ ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย ตลอดจนสื่อมวลชนในการรณรงค์ และระดับนานาชาติ ในการดำเนินการตามพันธกรณี นานาชาติ แผนอาเซียน
(มุ่งเน้นการบรรลุ SDGs วิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี : ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว  ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง)



ส.ค ร่วมประชุมผ่านVDO Conference ที่ศูนย์จ.นนทบุรี


เมื่อวันที่  30 ธ.ค. 59 เวลา 08.00 น. ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (ท่านเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต) พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ สค. ร่วมประชุมศูนย์ปฏิบัติการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที 545/2557-2559 ผ่าน VDO Conference ซึ่ง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ท่านไมตรี อินทุสุต) เป็นประธานการประชุมเพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว


ศูนย์ดำรงธรรมให้บริการช่วงปีใหม่ไม่มีวันหยุด ผุดไอเดียเข้าถึงประชาชน บริการเชิงรุกตั้งศูนย์ดำรงธรรมเคลื่อนที่ ณ จุดอำนวยความปลอดภัยทางถนน 24 ชม.

     
 เมื่อ 30 ธ.ค. 59 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ 2560 โดยจัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน จำนวน 14 โครงการ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ โครงการของขวัญปีใหม่ของศูนย์ดำรงธรรมที่ได้กำหนดจะพัฒนางานบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนให้มากขึ้น โดยมีทั้งภารกิจการให้บริการพิเศษช่วงปีใหม่และการพัฒนางานบริการอย่างต่อเนื่อง
      สำหรับการให้บริการในช่วงปีใหม่ในปีนี้ จะเน้นการเข้าถึงประชาชนให้มากขึ้น และมีการให้บริการเชิงรุก ด้วยการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเคลื่อนที่ ณ บริเวณจุดอำนวยความปลอดภัยทางถนน บนถนนสายหลักอำเภอละ 1  แห่ง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ ชุดประจำจุดอำนวยการความปลอดภัยทางถนนประกอบด้วย ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะกรรมการหมู่บ้าน ให้บริการรับเรื่องร้องทุกข์/ร้องเรียน และคอยช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน และเรื่องอื่น ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ในส่วนของการเปิดให้บริการของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอจะเปิดให้บริการต่อเนื่องในช่วงวันหยุดตลอด 6 วัน  ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 25594 มกราคม 2560 โดยจัดเจ้าหน้าที่ไว้คอยให้บริการ ณ ศูนย์ดำรงธรรม ทางโทรศัพท์ และ Application Spond เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ ให้ความช่วยเหลือ และรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงให้บริการจัดทำบัตรประชาชนและงานทะเบียนราษฎร บริการข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น ที่ตั้งหน่วย/จุดให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ หมายเลขโทรศัพท์หน่วยงาน/องค์กร เบอร์สายด่วนต่าง ๆ
      นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้ประสานหน่วยงานอื่น ๆ มาร่วมให้บริการแก่ประชาชนด้วย เช่น บริการทางทะเบียนรถ ชำระค่าสาธารณูปโภค การรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน น้ำไม่ไหล ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าลัดวงจร เป็นต้น และได้ประสานงานไปยังมูลนิธิต่าง ๆ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน สถานศึกษา และหน่วยงานเอกชน เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นในกรณีประชาชนประสบเหตุฉุกเฉิน เช่น รถเสีย ยางแตก ซ่อมแซมรถ เปลี่ยนยาง หรือหากมีเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะมีการสนธิกำลังจัดชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับเหตุและแก้ไขปัญหาทันที
      ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางปฏิบัติว่ากรณีที่ประชาชนได้ร้องเรียนร้องทุกข์เข้ามา และเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากหรือเกี่ยวข้องต่อภารกิจกับหลายหน่วยงานต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและบูรณาการหารือส่วนราชการเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน 7 วัน
      ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานศูนย์ดำรงธรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี 2559 ที่ผ่านมา มีประชาชนเข้ารับบริการกว่า 3.6 แสนคน ในปีนี้กระทรวงมหาดไทยจึงได้เตรียมความพร้อมไว้อย่างเต็มที่เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีประชาชนมาติดต่อรับบริการจำนวนมากเช่นเดียวกัน โดยประชาชนสามารถติดต่อขอรับบริการศูนย์ดำรงธรรมได้ที่สายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง

กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัว

          เมื่อ 30 ธ.ค. 59  ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพล  ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดกิจกรรมดังกล่าวทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพร้อมกันทั่วประเทศ โดยกำหนดจัดกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี  ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” ในวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2559 และ ลั่นฆ้องชัยต้อนรับปีใหม่ ในวันที่ 1 มกราคม 2560 ณ วัด  หรือสถานที่เหมาะสมที่แต่ละหน่วยงานกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสงบจิตใจต้อนรับปีใหม่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ แจ่มใส เป็นมงคลกับชีวิต รวมทั้งเพื่อร่วมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระผู้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก โดยจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ ประกอบด้วย การทำบุญรักษาศีล การเจริญจิตภาวนา การปฏิบัติธรรม การฟังพระธรรมเทศนา การไหว้พระสวดมนต์ การร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และร่วมสวดมนต์ข้ามปี เป็นต้น
          เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมดังกล่าว กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร จึงได้จัดกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” ขึ้น ณ วัดราชบพิธฯ ในวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2559 ระหว่างเวลา 22.00 - 24.00 น. และจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 35 รูป ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2560 เวลา 06.00 น. ณ บริเวณหน้าพระอุโบสถวัดราชบพิธ โดยเชิญชวนผู้บริหาร บุคลากรของส่วนราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพี่น้องประชาชนพุทธศาสนิกชนบริเวณใกล้เคียงเข้าร่วมกิจกรรม อันเป็นมงคลในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เป็นมงคล และเป็นการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมแก่บุคลากรในสังกัดและพุทธศาสนิกชน ให้สามารถนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต และประกอบกิจการ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชน ลด ละ เลิก อบายมุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ และดำเนินชีวิตด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป

          สำหรับการจัดงานในส่วนภูมิภาค ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานในการประสานการดำเนินงานจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีฯ ได้แจ้งให้ทุกจังหวัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ในการจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยให้ประสานการดำเนินการกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560 ในระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2560 ณ วัดประจำจังหวัด/อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสถานที่เหมาะสมที่แต่ละพื้นที่กำหนด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีแล้ว จังหวัดยังได้ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ จัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ อาทิเช่น การทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ การบริจาคโลหิต การไถ่ชีวิตโค-กระบือ การเยี่ยมผู้ป่วยยากไร้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล การปลูกป่า และการปล่อยปลา เป็นต้น  ทั้งนี้ จังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจัดกิจกรรมฯ ที่วัด จำนวน 24,046 วัด และสถานที่อื่นๆ จำนวน 143 แห่ง โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อความเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัวตลอดไป

ปราบปรามเมืองมหาชัย จับขยายยาเสพติด ชาวต่างขาติ 4 ราย.

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.59 เจ้าพนักงานตำรวจภายใต้อำนวยการของ พ.ต.อ.สุระพรรณ นาทวรทัต ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร ,พ.ต.ท.สถิตย์ คงเนียม รอง ผกก.ป.สภ.เมืองสมุทรสาคร , พ.ต.ท.สุทธิพงษ์ อ่อนละออ สวป.ฯ ,พ.ต.ต.อนุชา จิตนิยม สวป.ฯ ,พ.ต.ต.เอกราช มาละวรรณโณ สวป.ฯ,พ.ต.ต.ศุภฤกษ์ ตรีเจตน์ สวป.ฯ ,ร.ต.อ.กิตติ์ธีธัช คงกระพันธ์ รอง สว.สส.ฯ ,ร.ต.ท.วัชระ พัฒนกุลอนันต์ รอง สวป.ฯ พร้อมกำลัง ป.นอกเครื่องแบบ ชุด ปส.ฯ 2 ร่วมกันจับกุมคดียาเสพติด 4 ราย ผู้ต้องหา 4 คน มีรายละเอียดดังนี้
1.เวลา 09.00 น.จับกุม น.ส.เตือนใจ (หญิง) เกล็บจุ อายุ 41 ปี พร้อมด้วยของกลางยาไอซ์ 1.16 กรัม โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิด หมู่ 8 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
2.เวลา 13.00 น.จับกุม นางพูคำ (คำ) พรมหาญ อายุ 45 ปี สัญชาติลาว พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 100 เม็ด และยาไอซ์ 7.22 กรัม โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้าและยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิด หมู่ 3 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
           จากการสืบสวนขยายผลทราบว่านางคำฯ ผู้ต้องหารับยาบ้ามาจากนายแอ้ อยู่ที่บางเขน กรุงเทพฯ ซึ่งต้องเดินทางไปรับเองและยังคงค้างค่ายาบ้ากันอยู่จึงไม่สามารถขยายผลได้  ส่วนยาไอซ์รับว่ารับมาจากนางไล ไม่ทราบนามสกุล อายุประมาณ 30 ปี จึงได้ขยายผลจับกุม
3.เวลา 14.00 น.จับกุม นางเวียงวิไล (ไล) พรหมหาน อายุ 30 ปี สัญชาติลาว พร้อมด้วยของกลางยาไอซ์ 11.94 กรัม โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิด หมู่ 3 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
        จากนั้นได้สืบสวนขยายผลทราบว่านางไลฯ ผู้ต้องหารับยาไอซ์มาจากนายตี๋ ท้ายตลาด อายุประมาณ 44 ปี  ซึ่งต่อมาสามารถขยายผลจับกุม
4.เวลา 19.00 น.จับกุม นายตี๋ หรือ MR.XU KAIJIE อายุ 44 ปี สัญชาติจีน พร้อมด้วยของกลางยาไอซ์ 11.64 กรัม โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิด ลานจอดรถสี่ไถ่ ชุมชนท้ายตลาด และบ้านเลขที่ 560/18 ชุมชนท้ายตลาด ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
        และจากการสืบสวนขยายผลทราบว่านายตี๋ฯ รับว่ารับยาไอซ์มาจากนางผัด ไม่ทราบนามสกุล ชาวไทยใหญ่ ในราคากรัมละ 1,200 บาท แล้วนำมาจำหน่ายในราคากรัมละ 1,500 บาท แต่ไม่สามารถติดต่อนางผัดฯ ได้เนื่องจากได้เดินทางกลับประเทศไปแล้ว จึงได้นำผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลางทั้งหมดนำส่ง พงส.สภ.เมืองสมุทรสาคร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

เงาพญาราหู รายงาน

นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร


   เมื่อ 30  ธันวาคม 2559  นายโชติพัฒน์ สิชฌรังษี นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร และปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ได้ออกตรวจเยี่ยมจุดตรวจ/จุดบริการประชาชนเพื่อให้บริการแก่ประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ตลอด 24 ชั่วโมง จุดหลัก จุดที่ 1 บริเวณหน้าปั้ม ปตท. (แม็คโดนัล) ต.บางกระเจ้า
จุดที่ 2 บริเวณหน้าวัดเกตุมวดีศรีวนาราม ต.บางโทรัดและจุดรองใน พื้นทีตำบล/หมู่บ้าน 10 จุด เพื่อให้กำลังแก่ผู้เข้าเวรประจำด่านต่างๆพร้อมมอบเครื่องดื่มขนมขบเคี้ยวให้แต่ละจุดอีกด้วย