pearleus

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กองปราบ คืบหน้ากรณีแจ้งจับเอเย่นต์ตุ๋นแรงงานไปทำงานไร่องุ่น แดนจิงโจ้ สูญเงินกว่า 4 ล้าน


จากกรณีที่มีกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นแรงงานชาวไทย กว่า 40 คน แจ้งความดำเนินคดีหลังจากถูกนางนที ฮาวเวิร์ด บอดี้แฮม ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย นายหน้า หลอกลวงว่าสามารถพาไปทำงานไร่องุ่น และงานเกษตรกรรม ที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีรายได้ดีเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท โดยมีการจ่ายเงินเป็นค่าดำเนินการรายละ 120,000-170,000 บาท รวมมูลค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาท แต่ภายหลังกลับไม่ได้เดินทางไปทำงานตามที่มีการกล่าวอ้าง นั้น
                ความคืบหน้าเมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 13 พฤษภาคม  2558 ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พัชรียา บุญทวีสวัสดิ์ ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารกสิกรไทย ที่ จ.เชียงใหม่ ที่ถูกใช้ในการโอนเงินจากผู้เสียหาย เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ธนเสฏฐ์ ตุ้มเล็กเดชาวุฒิ พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.เพื่อให้ปากคำในฐานะพยาน และแสดงความบริสุทธิ์กับกรณีที่เกิดขึ้น
                น.ส.พัชรียา ให้การว่า ที่ผ่านมาตนไม่ทราบเรื่องการโอนเงิน เพราะบัญชีธนาคาร และบัตรเอทีเอ็ม สูญหายไปตั้งแต่ปี 2556 แต่ไม่ได้แจ้งความหรืออายัดบัญชีไว้เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ตนกับมารดา เคยพาแรงงานไทยที่สนใจไปทำงานไร่องุ่น ที่ประเทศ
ออสเตรเลีย มาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่พอเกิดเรื่องครั้งนี้ และมีชื่อตนไปเกี่ยวข้อง จึงรีบเดินทางมาจากประเทศออสเตรเลีย มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
                น.ส.พัชรียา ให้การอีกว่า สำหรับคนที่ชื่อ นทีมีศักดิ์เป็นพี่ของตน แต่ไม่ได้ทำงานเป็นเอเย่นต์ หรือนายหน้าพาแรงงานไปทำงานต่างประเทศ ทั้งนี้ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นทางครอบครัวก็รู้สึกไม่สบายใจ และอยากจะชดใช้เยียวยาเงินให้กับผู้เสียหาย เป็นจำนวน 74,000 บาท ซึ่งเป็นเงินส่วนตัว ส่วนเรื่องราวทั้งหมด ก่อนหน้านี้ก็เคยมีการเจรจากับผู้เสียหายมาบ้างแล้ว ซึ่งฝ่ายตนขอเวลาในการดำเนินการ แต่ทางผู้เสียหายก็พากันมาแจ้งความเสียก่อน
                ด้าน ร.ต.อ.ธนเสฏฐ์ กล่าวว่า ในวันเดียวกันนี้ น.ส.พัชรียา เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยาน ซึ่งขณะนี้ในส่วนของคดีมีความคืบหน้าไปมาก มีการสอบปากคำผู้เสียหายไปแล้วกว่า 30 ปาก แต่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ให้มากที่สุด โดยยังไม่มีการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหากับใคร ส่วนการดำเนินการจากนี้ไปก็จะตรวจสอบว่ายังมีบุคคลใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ามีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงก็จะเรียกตัวมาสอบปากคำ ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น