10 ธ.ค. พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รรท.รอง
ผบ.ตร / โฆษก ตร.
เปิดเผยข้อมูลรายงานผลการจับเท็จผู้เกี่ยวข้องในการร้องขอให้มีการรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์
โดยโฆษก ตร. ได้ให้รายละเอียดว่า
เมื่อวันที่
5
ธันวาคม 2560 DSI ได้ส่งหนังสือรายงานผลการจับเท็จของบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีนี้
มายัง ตร. ใจความว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 DSI ได้มีหนังสือถึง ยธ
รายงานผลการตรวจพิสูจน์ด้วยเครื่องจับเท็จจำนวน 3 ราย
1. นางจอมทรัพย์
แสนเมืองโคตร
2. นายสับ
วาปี
3. นายสุริยา
นวนเจริญ
เพื่อนำผลการจับเท็จประกอบการพิจารณารื้อฟื้อคดีอาญา โดยรายงานดังกล่าวระบุผลดังนี้
1. นางจอมทรัพย์ ฯ
ยินยอมเข้ารับการจับเท็จด้วยความสมัครใจของตนเอง
และเป็นผู้มีร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพปกติ
และให้การยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนขับรถชนจักรยาน ทำให้นายเหลือ
คนขี่จักรยานเสียชีวิต ที่
อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อปี พ.ศ.2548
โดยในขณะนั้นตนเองอยู่ที่บ้านกับครอบครัว ที่ จ. สกลนคร ไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
ผลการจับเท็จระบุว่า ไม่สามารถสรุปผลได้ เนื่องจากการตรวจวัดความต้านทานของกระแสไฟฟ้าของผิวหนังหรือการทำงานระบบเหงื่อของผู้รับการจับเท็จ ไม่สมบูรณ์เพียงพอ
จึงไม่สามารถนำข้อมูลการตรวจวัดในส่วนดังกล่าว มาใช้ในการวิเคราะห์ และอ่านแปรผลกราฟ
ในภาพรวมได้
จึงไม่สามารถมีความเห็นและสรุปผลการจับเท็จในครั้งนี้ได้
2. นายสับ ฯ ยินยอมเข้ารับการจับเท็จด้วยความสมัครใจของตนเอง
และเป็นผู้มีร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพปกติ
โดยนายสับ ฯ ให้การยืนยันเกี่ยวกับประเด็น
ที่จะทำการตรวจพิสูจน์ มีใจความสำคัญว่า
เรื่องที่ตนเองออกมารับสารภาพว่าเป็นผู้ขับรถยนต์ชนนายเหลือ เสียชีวิต
นั้น เป็นความจริงทุกประการ ตนเองไม่ได้พูดโกหก และไม่ได้มีผู้ใดว่าจ้างให้ออกมารับสารภาพ
แต่อย่างใด
ผลการจับเท็จระบุว่า พบปฏิกิริยาตอบสนองทางสรีระวิทยาที่สำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่าคำตอบเป็นเท็จ
จึงทำให้นายสับรับสารภาพความจริงดังนี้
- ยืนยันว่า รถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร
เดิมอยู่ในความครอบครองของตนจริง
แต่ก่อนเกิดเหตุ ได้ขายรถคันดังกล่าวไปให้กับ นายนิรันดร์ โทนแก้ว
อดีตผู้ใหญ่บ้านนันทวัน ซึ่งเป็นญาติฝ่ายภริยาของนายสับ ไปแล้วในราคา 50,000 บาท
โดยไม่ได้จดทะเบียนโอนรถกัน
ต่อมาภายหลังทราบว่านายนิรันดร์ ได้ขายรถดังกล่าวไปแล้ว
- เกี่ยวกับคดีของนางจอมทรัพย์ นายสับไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน แต่ต่อมาประมาณ ปี พ.ศ.2556
ได้มีนายวิจิตร หรือนายเพื่อน คำลือไชย
ซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ของนายสับ มาสอบถามเกี่ยวกับคดีดังกล่าว และแจ้งว่า
ฝ่ายครูจอมทรัพย์ได้ไปสืบค้นข้อมูลจากสำนักงานขนส่ง เกี่ยวกับรถยนต์
คันหมายเลขทะเบียน บค 56 ที่มีอยู่ในจังหวัดนครพนม
และจังหวัดใกล้เคียง
จนพบว่ารถยนต์ต้องสงสัย ที่ชนคนตายในคดีนี้ คือ รถยนต์ ยี่ห้ออีซูซุ
สีเขียว หมายเลขทะเบียน บค 56
มุกดาหาร ซึ่งหลักฐานทางทะเบียนมี นายสับ
วาปี เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้
นายวิจิตรยังได้บอกให้นายสับยอมรับสารภาพผิดแทนครูจอมทรัพย์เพราะมีหลักฐานหมดแล้ว
โดยในครั้งแรกนายสับได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ขับรถชนในคดีนี้ เนื่องจาก ได้ขายรถไปแล้วก่อนเกิดเหตุ
- นายวิจิตรได้พาครูอ๋องมาเจรจาตกลงกับนายสับเพื่อให้รับผิดแทนนางจอมทรัพย์ ซึ่งต่อมานายวิจิตรได้นัดให้นายสับ ครูอ๋อง
และกลุ่มเพี่อนครูจอมทรัพย์มาเจรจาตกลงกันที่บ้านของ พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ
มุกดาธนพงศ์
สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดมุกดาหาร
เพื่อจะได้มีคนกลางในการเจรจา และให้คำปรึกษาทางคดี โดยในระหว่างการเจรจา ครูอ๋องได้เสนอเงินค่าจ้าง
500,000 บาท เพื่อให้นายสับยอมรับสารภาพ
ว่าเป็นคนขับแทนครูจอมทรัพย์
โดยมีเงื่อนไขว่า ศาลจะต้องรับฟ้องก่อนจึงจะจ่ายเงินให้
แต่นายสับเห็นว่าตนเองไม่ได้เป็นคนขับและกลัวจะติดคุก จึงปฏิเสธไป
- นายสับให้ข้อมูลว่า ครูอ๋องเคยตกลงว่าจ้างนายเสริฐ
หรือประเสริฐ ไม่ทราบนามสกุล และไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นเงิน 200,000 บาท
ให้มารับสารภาพว่าเป็นคนขับแทนครูจอมทรัพย์ โดยสร้างเรื่องขึ้นว่า นายเสริฐซื้อรถยนต์กระบะ
คันหมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร จากนายสับ
โดยไม่มีการโอนทะเบียน และได้ขับรถไปชนคนตายในที่เกิดเหตุ
และให้นายสับเป็นพยานรู้เห็นในการขายรถเท่านั้น
และต่อมาครูอ๋องได้พานายเสริฐและนายสับ ไปพบพนักงานสอบสวน สภ.เรณูนคร
เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
แต่พนักงานสอบสวนทราบว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง จึงไม่ลงบันทึกประจำวันให้ จึงได้ยกเลิกแผนดังกล่าวไป
- ครูอ๋องได้ขอให้นายเสน่ห์
ซึ่งเคยเป็นครูในพื้นที่หมู่บ้านเดียวกับนายสับและสนิทกับนายสับ
มาช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้นายสับยอมรับผิดแทนครูจอมทรัพย์ โดยบอกกับนายสับว่า
เป็นเพียงอุบัติเหตุรถชนกันทั่วไป ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง เชื่อว่าน่าจะได้รับโทษแค่รอลงอาญา และในช่วงที่มีการเจรจาตกลงกันนั้น
ครูอ๋องได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นายสับหลายครั้ง
โดยเฉพาะเคยให้เงินช่วยเหลือเรื่องหนี้สินของนายสับจำนวน 60,000 บาท
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้นายสับใจอ่อน
และยอมรับผิดแทนครูจอมทรัพย์
โดยครูอ๋องรับประกันว่าจะจ่ายเงินค่าจ้างให้ 500,000 บาท เมื่อศาลได้รับฟ้องแล้ว
- เมื่อวันที่ 19 พ.ค.57 ครูอ๋องได้พานายสับไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.นาโดน จ.นครพนม
เพื่อให้มีหลักฐานแสดงว่านายสับยอมรับสารภาพด้วยตนเองว่าเป็นคนขับ
และยังได้ให้นายสับไปให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม
พร้อมทั้งไปนำชี้สถานที่เกิดเหตุจริงประกอบคำให้การด้วย
- นายสับรับสารภาพว่า
ตนเองไม่เคยนำรถไปซ่อมที่อู่ ชื่อ อ.เจริญยนต์
ซึ่งมีนายโอด หรือนายเวช ฯ เป็นเจ้าของแต่อย่างใด
- เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.57 นายสับยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครพนม เพื่อขอเข้ามาในคดี
โดยขอเป็นผู้ชำระเงินค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทน จำนวน 170,000 บาท แทนนางจอมทรัพย์ และรับสารภาพว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่ของตนเอง
แต่เป็นของครูอ๋อง
3. นายสุริยา ฯ
ยินยอมเข้ารับการจับเท็จด้วยความสมัครใจของตนเอง
และเป็นผู้มีร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพปกติ
โดยนายสุริยา ฯ
ให้ถ้อยคำยืนยันเกี่ยวกับประเด็นที่จะทำการพิสูจน์มีใจความสำคัญว่า นายสับ ฯ
ได้ออกมารับสารภาพด้วยตนเองว่าเป็นคนขับรถยนต์ชนนายเหลือ ซึ่งขี่จักรยานสวนทางมาเสียชีวิต
ที่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อปี พ.ศ.2548
นายสุริยา ฯ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เป็นคนไปจัดหาหรือว่าจ้างให้นายสับ ฯ
ออกมารับสารภาพผิดแทนนางจอมทรัพย์ ฯ แต่อย่างใด
ผลการจับเท็จ พบปฏิกิริยาตอบสนองทางสรีระวิทยา
ที่สำคัญ บ่งชี้ว่า คำตอบเป็นเท็จ
นายสุริยา ฯ จึงยอมรับสารภาพ
โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ครูอ๋องและครูจอมทรัพย์ มีความสัมพันธ์กัน
โดยเข้าเรียนที่วิทยาลัยครูจอมบึงเช่นเดียวกัน
และหลังจากจบการศึกษาแล้วยังได้บรรจุเป็นข้าราชการครูอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
จึงมีการติดต่อไปมาหาสู่และนัดเลี้ยงสังสรรค์กันอยู่เสมอ
- ครูจอมทรัพย์
ได้มาปรึกษาครูอ๋องเรื่องการต่อสู้คดีที่ครูจอมทรัพย์ ขับรถยนต์ชนนายเหลือ
เสียชีวิต
โดยครูจอมทรัพย์ยืนยันว่าไม่ได้ขับขี่รถยนต์ชนคนตายในคดีนี้ โดยเบื้องต้นครูจอมทรัพย์ได้ตรวจสอบรถยนต์กระบะ
หมายเลขทะเบียน บค 56 ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร
และจังหวัดใกล้เคียงแล้ว พบว่ามีหลายคัน
โดยมีรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเขียว คันหมายทะเบียน บค 56 มุกดาหาร มีนายสับ วาปี เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เป็นรถคันที่น่าสงสัย
- ครูอ๋องและครูจอมทรัพย์ ได้ไปตรวจสอบรถยนต์
คันหมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร เพิ่มเติมที่สำนักงานขนส่งจังหวัดมุกดาหาร พบว่า รถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้ต่อภาษีมาแล้ว 3 ปี
โดยมีนายสับเป็นผู้ต่อภาษีครั้งสุดท้าย
จึงทำให้ครูอ๋องเชื่อว่านายสับน่าจะเป็นคนขับรถชนคนตายในคดีนี้จริง ประกอบกับรถคันหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ซึ่งเป็นของครูจอมทรัพย์
ไม่มีร่องรอยเฉี่ยวชน
และมีพยานในที่เกิดเหตุให้การว่าผู้ขับรถชนคนตายในคดีนี้เป็นผู้ชาย นอกจากนี้
ครูจอมทรัพย์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตนไม่น่าจะพูดโกหก
จากนั้นครูอ๋องและครูจอมทรัพย์จึงไปขอตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของนายสับ
จึงได้ทราบชื่อ ที่อยู่ และรูปถ่ายของนายสับ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 7
พ.ค.52 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องในคดีนี้
จึงไม่ได้ติดตามข้อมูลดังกล่าวเพิ่มเติมอีก
- ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ก.พ.56
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ทำให้ครูจอมทรัพย์ถูกคุมขับตามคำพิพากษา
ครูจอมทรัพย์ ฯ จึงได้ขอให้ครูอ๋องสืบหาข้อมูลในคดีนี้แทน ซึ่งในขณะนั้นครูอ๋องเชื่อว่านายสับเป็นคนขับรถชนคนตายในคดีนี้
- ครูอ๋อง ได้ให้นายวิจิตร หรือนายเพื่อน คำลือไชย
ซึ่งเป็นเพื่อนของครูอ๋องที่เคยติดต่อซื้อขายไม้กัน
และเป็นญาติสนิทของนายสับ
เข้าไปสอบถามนายสับ ฯ เกี่ยวกับคดีดังกล่าว ต่อมานายวิจิตร ฯ ได้มาบอกครูอ๋องว่านายสับ
ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนขับรถชนคนตายในคดีนี้จริง
ครูอ๋อง ฯ จึงขอร้องให้นายวิจิตร ฯ ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้นายสับฯ
ออกมารับสารภาพ โดยจะมีค่าจ้างให้กับนายวิจิตร จำนวน 100,000 บาท
แต่จะจ่ายให้เมื่อคดีเสร็จสิ้นแล้ว
- ต่อมาประมาณปลายปี พ.ศ.2556 นายวิจิตร ฯ ได้นัดนายสับและครูอ๋อง
มาเจรจาตกลงกันที่บ้านของ พ.ต.ท.จิตต์
ศรีโยหะ
สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดมุกดาหาร
ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายวิจิตร ฯ เพื่อเป็นคนกลางในการเจรจาตกลงและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางการเจรจาตกลง นายวิจิตร ฯ ได้ขอเพิ่มค่าจ้างเป็นเงิน 300,000 บาท
สำหรับจ่ายให้กับนายสับและนายวิจิตร
แต่ในวันดังกล่าวนายสุริยามีเงินสดของตนเองเพียง 100,000 บาท
และไม่สามารถหาเงินเพิ่มเติมเพื่อจ่ายให้กับนายสับและนายวิจิตรได้ การเจรจาในวันดังกล่าวจึงไม่สามารถตกลงกันได้
- พ.ต.ท.จิตต์
แนะนำว่าควรตกลงชดใช้ค่าเสียหายกับญาตผู้ตายให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งครูอ๋องได้เข้าเจรจากับญาติของผู้ตาย
โดยญาติของผู้ตายเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 150,000 บาท
และส่วนที่จะต้องจ่ายให้กับนายวิจิตรและนายสับเป็นเงินอีกจำนวน 300,000 บาท
โดยครูอ๋องจ่ายให้หลังคดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วจึงได้นัดไปลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน
ที่ สภ.เรณูนคร จ.นครพนม ในวันที่ 2 ธ.ค.56
แต่เมื่อถึงวันนัดดังกล่าวนายสับกลับไม่ยอมไปและปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นคนขับรถชนในคดีนี้
- นายสับได้พาครูอ๋องไปหานายนิรันดร์ โทนแก้ว
อดีตผู้ใหญ่บ้านนันทวัน ซึ่งเป็นญาติฝ่ายภริยาของนายสับ เพื่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ ทะเบียน
บค 56 มุกดาหาร ซึ่งนายนิรันดร์ได้ขายต่อให้กับนายอุบล ไชยบัน
ไปนานแล้ว จากนั้น ครูอ๋อง
และนายนิรันดร์ จึงได้เดินทางไปบ้านนายอุบล
ซึ่งนายอุบลจำไม่ได้ว่าซื้อมาเมื่อใด
โดยรถมีสภาพเก่ามากและใช้งานไม่ได้
จึงต้องใช้รถลากมา และในภายหลังได้นำเครื่องยนต์รถไถ (คูโบต้า)
มาใส่แทนเครื่องยนต์เดิมเพื่อให้พอใช้งานได้
- ครูอ๋องได้ให้ความช่วยเหลือนายสับหลายเรื่อง
โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2548
ซึ่งเป็นช่วงที่นายสับถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาค้าไม้โดยผิดกฎหมาย
ครูอ๋องได้ช่วยเหลือเงินค่าจ้างทนายความเป็นเงิน 10,000 บาท
นอกจากนั้น ครูอ๋อง ยังช่วยจ่ายหนี้ที่นายสับค้างค่าผ่อนงวดรถไถอีกเป็นเงิน
60,000 บาท
การที่ครูอ๋องได้ให้เงินช่วยเหลือนายสับดังกล่าว
จึงทำให้นายสับใจอ่อนและยอมช่วยรับผิดแทนครูจอมทรัพย์
แต่นายวิจิตรและนายสับได้ขอเพิ่มเงินค่าจ้างเป็นเงิน 500,000 บาท
โดยจะจ่ายหลังจากที่สามารถรื้อฟื้นคดีได้แล้ว
- ต่อมานายสับรู้สึกกลัวว่าจะติดคุก ครูอ๋องจึงได้ว่าจ้างให้นายประเสริฐ
หรือเสริฐ
ซึ่งเป็นลูกน้องที่ช่วยงานเลื่อยไม้ มาเป็นคนขับรถชนคนตายในคดีนี้แทนนายสับ
ฯ โดยสร้างเรื่องขึ้นว่า นายเสริฐซื้อรถมาจากนายสับ
แล้วขับรถไปชนคนตายในคดีนี้ โดยครูอ๋องว่าจ้างนายเสริฐ
เป็นเงิน 20,000 บาท
พร้อมยกรถจักรยานยนต์ให้อีก 1 คัน
ต่อมาครูอ๋องจึงได้พานายสับและนายเสริฐไปที่ สภ.นาโดน จ.นครพนม
เพื่อลงบันทึกประจำวันเรื่องดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน แต่ระหว่างที่ พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ชมศรีหาราช
พนักงานสอบสวน กำลังพิมพ์บันทึกอยู่นั้น
ครูอ๋องได้บอกกับ พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ฯ ว่านายสับเป็นคนกระทำผิดตัวจริง
แต่นายสับกลับรู้สึกกลัว ไม่ยอมมาลงบันทึกประจำวันเพื่อรับสารภาพ
จึงได้ให้นายเสริฐเป็นคนมาลงบันทึกประจำวันเพื่อรับผิดแทน เมื่อ พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ฯ
ทราบเรื่องจึงไม่ยอมลงบันทึกประจำวันดังกล่าวให้
- เมื่อวันที่ 19 พ.ค.57
ครูอ๋องได้พานายสับเข้าพบกับ พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ฯ อีกครั้ง
และได้ลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานเพื่อแสดงว่านายสับ ฯ
ได้ยอมรับสารภาพด้วยตนเองว่าเป็นคนขับรถชนคนตายในคดีนี้
- สำหรับค่าเสียหายทางแพ่งที่ญาติผู้ตายเรียกร้องเอาจากครูจอมทรัพย์นั้น ครูอ๋องเห็นว่าเป็นเงินที่ต้องชดใช้ให้กับฝ่ายผู้ตายอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดประโยชน์ในทางคดี เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.57 ครูอ๋องจึงได้นำเงินของตนเอง จำนวน 170,000 บาท มอบให้กับนายสับ
นำมายื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครพนมเข้ามาเป็นผู้ชำระค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทน
แทนครูจอมทรัพย์ เพื่อใช้เป็นเหตุบรรเทาโทษให้กับนายสับเมื่อต้องถูกดำเนินคดี
- ครูอ๋องรู้สึกสำนึกผิดที่ได้ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องในการไปจัดหาและตกลงว่าจ้างนายสับมารับสารภาพผิดแทนครูจอมทรัพย์
เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการรื้อฟื้นคดีอาญา ทั้ง ๆ ที่ในภายหลังได้รู้ความจริงว่านายสับไม่ใช่คนขับรถชนคนตายในคดีนี้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น