วันที่ 31 มกราคม 58 พ.ต.อ.ชัยยศ ถมยา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาฐานแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อกระทำความผิดตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาครที่49/2558 ลงวันที่ 30 มกราคม 2558 คือ นายชัยยา หรือ อู๋ กาญจนรัตนพงศ์ อายุ 43 ปี ในฐานความผิดร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร รัชทายาท โดยมีนายณัฐพล หรือกอล์ฟ สุวะดี อาย 29 ปี ตามหมายจับศาลที่ 48/2558 ลงวันที่ 30 มกราคม 2558 ในความผิดฐานเช่นเดียวกัน
พ.ต.อ.ชัยยศ เปิดเผยว่า หลังจากที่เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา มีเครือข่ายแกนนำต่อต้านถ่านหินในจังหวัดสมุทรสาคร ได้ออกยื่นหนังสือเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายณัฐพล สุวะดี เนื่องจากในอดีตมีการข่มขู่ให้เกิดความกลัวและให้มีการยุติการชุมนุมเพื่อต่อต้านการนำเข้าเชื้อเพลิงถ่านหินทางน้ำ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันสืบสวนกระทั่งมีมูลที่ชัดเจน ก่อนจะเข้าจับกุมได้ที่บริเวณหน้าร้านอาหารต้นเตย ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองฯ ทั้งนี้เบื้องต้นนายชัยยายังให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับแค่ว่าตนเองเป็นบุคคลในภาพตามที่มีการนำมาแสดงขณะเมื่อครั้งที่ประชุมคณะกรรมการเบญจภาคีถ่านหินของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งขณะนั้นตนได้เขาร่วมชี้แจงในที่ประชุมแทนนายณัฐพล กรณีมีวัตถุประสงค์หวังจะเข้ามาบริหารท่าเทียบเรือขนถ่ายถ่านหิน ภายใต้ชื่อ"ท่าเรืออัคร"ซึ่งจากเดิมที่เป็นท่าเรือชื่อ"เซ็นจูรี่"เท่านั้น
พ.ต.อ.ชัยยศกล่าวว่า สำหรับนายชัยยานั้นมีความผูกพันมาหลายสิบปีแล้วกับ นายณัฐพล สุวะดี ผู้ต้องหาอีกรายโดยขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มักไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ทำให้เสมือนเป็นพี่ เป็นน้องกับนายณัฐพล ส่วนการพัวพันกับคดีถ่านหินในจังหวัดนั้นเริ่มมาจาก นายสมเกียรติ กิจพ่อค้า เจ้าของท่าเทียบเรือเซ็นจูรี่ ได้ไปพูดให้นายปัญญา สร้อยพวง คนทำกรงสัตว์ที่บ้านนายณัฐพลว่า ธุรกิจกำลังมีปัญหาเพราะไม่สามารถนำถ่านหินเข้ามาทางเรือได้ ตามคำสั่งระงับขนถ่ายทางเรือฯ ของอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งนายปัญญาได้ไปเล่าสู่ให้นายณัฐพลฟัง ทำให้ต่อมาได้เกิดแนวคิดจะทำมาหากินจากการขนถ่ายถ่านหิน ก่อนไปปรึกษากับนายชัยยา และมอบหมายให้นายชัยยาเรียกตัวนายชาญชัย รุ่งโรจน์สาคร กับพวกแกนนำต่อต้านถ่านหินบางรายไปพบที่วังย่านถนนอักษะ โดยมีการกล่าวอ้างว่าตนเป็นลูกของท่านแม่ ทำให้แกนนำฯเกิดความหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะต่อต้านใดๆ
“จากนั้นก็ติดต่อให้นายสมเกียรติ กิจพ่อค้า มาพูดคุยกันถึงเรื่องจะทำธุรกิจถ่านหิน ก่อนที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ไปเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเบญจภาคีจังหวัด ที่มีคณะกรรมการร่วมพิจารณาอนุญาตหรือระงับการขนถ่ายถ่านหิน จ.สมุทรสาคร ในขณะนั้นด้วย อาทิ ตัวแทนจากภาคส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มเครือข่ายต่อต้านถ่านหิน ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชนเพื่อชี้แจงหวังเจรจาขอกลับเข้ามาทำท่าเทียบเรือขนส่งสินค้าเกษตรคือท่าเรือเซ็นจูรี่เพื่อส่งถ่านหินขาย โดยจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น"ท่าเรืออัคร"(ยังไม่ได้มีการขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย) อย่างไรก็ตามก่อนที่นายณัฐพล ได้เรียกเงินค่าช่วยเหลือดำเนินการวิ่งเต้นให้ได้รับอนุญาตขนถ่านหินเป็นเงิน 1.4 ล้านบาท จากผู้ประกอบการท่าเทียบเรือถ่านหิน เพื่อเป็นค่านกแก้วมาร์คอร์สีน้ำเงิน1 คู่ก่อน ซึ่งหากงานนี้สำเร็จก็จะขอส่วนแบ่งกำไรจากจำนวนถ่านหินจากผู้ประกอบการตันละ 12 บาท แต่ต้องแบ่งมาให้นายณัฐพลฯ ตันละ 7 บาท ถ้ามีการอนุญาตให้นำเข้าได้ประมาณ 1สัปดาห์จะมีถ่านหินมาขึ้นที่ท่าเทียบเรือเซ็นจูรี่ประมาณ 4หมื่นตัน เฉลี่ยแล้วในแต่ละเดือน นายณัฐพลฯ จะได้เงินจากส่วนแบ่งของการนำเข้าถ่านหินมาขึ้นที่ท่าเทียบเรือราว 1 ล้านบาทเศษ ต่อมาทางเจ้าของท่าเทียบเรือเห็นว่า ตนถูกเอาเปรียบจึงขอยกเลิกสัญญา และยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จนกระทั่งนายณัฐพลมาถูกจับเสียก่อน ทั้งนี้นายณัฐพล สุวะดี จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก”
โดย...มานพ พฤฒิวโรดม บก.ข่าว หนังสือพิมพ์ชี้ชัด เจาะลึก จ.สมุทรสาคร
087- 151-2525
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น