วันที่ 20 ก.พ. 2563 ที่กระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า
ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งว่ากรณีการขอสัญชาติของผู้สูงอายุไร้สัญชาติอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงแนวทางประกอบการพิจารณาคุณสมบัติของคนต่างด้าวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่ขอแปลงสัญชาติเป็นไทยกรณีผู้สูงอายุนั้น
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
กล่าวว่า บัดนี้
กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการปรับปรุงแนวทางประกอบการใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาคุณสมบัติของคนต่างด้าวในการยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย
ตามมาตรา 10
แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508
แล้วเพื่อเป็นการแก้ไขอุปสรรคในการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยของชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธ์ุ
รวมถึงกลุ่มผู้เฒ่าไร้สัญชาติ
ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่รัฐมีนโยบายแก้ไขปัญหาสถานะและสิทธิโดยได้รับการจัดทำทะเบียนราษฎร์และมีเลขประจำตัวประชาชน
13
หลักพร้อมทั้งได้รับใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้ว
ให้สามารถขอแปลงสัญชาติเป็นไทยได้เช่นเดียวกับคนต่างด้าวอื่นทั่วไปโดยปรับปรุงแนวทางประกอบการใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้แปลงสัญชาติ
ในประเด็นต่างๆ ได้แก่ คุณสมบัติเรื่องการมีความประพฤติดี ตามมาตรา 10 วรรคสอง คุณสมบัติเรื่องการมีอาชีพเป็นหลักฐาน ตามมาตรา 10 วรรคสาม
คุณสมบัติเรื่องการมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรต่อเนื่องจนถึงวันที่ยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
5 ปีตามมาตรา 10 วรรคสี่
และคุณสมบัติเรื่องการมีความรู้ภาษาไทย มาตรา 10 วรรคห้า
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ได้กำชับให้พนักงานเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธ์รวมถึงกลุ่มผู้เฒ่าไร้สัญชาติที่มีอายุตั้งแต่
60 ปีขึ้นไป
ให้เร่งดำเนินการอย่างจริงจังและเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสัญชาติให้แก่บุคคลกลุ่มดังกล่าว
เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมายและนโยบายรัฐ
และห้ามไม่ให้มีการแสวงหา
หรือเรียกรับผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนใดๆจากการดำเนินการโดยเด็ดขาดเพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรแล้วยังทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและจริยธรรมที่ดีของเจ้าหน้าที่อีกด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น