เมื่อ 17 ธ.ค.59 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่ อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 ได้มีมติอนุมัติ แนวทางและมาตรการแก้ไขปั ญหาสถานะบุคคลและคนไร้สัญชาติ ในประเทศไทย ตามข้อเสนอของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องสัญชาติ และสถานะของเด็กนักเรียนและบุ คคลไร้สัญชาติที่เกิ ดในราชอาณาจักรไทย
กระทรวงมหาดไทยจึงขอชี้ แจงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกั บมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้ อง และรับทราบถึงเจตนารมณ์ในการปรั บปรุงกฎหมายดังกล่าว ดังนี้
เรื่องแรก เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเด็กที่ เกิดในประเทศไทย แต่ต้องกลายเป็นคนเข้าเมืองผิ ดกฎหมาย โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลั กการของร่างกฎกระทรวง ซึ่งเป็นการออกตามกฎหมายสัญชาติ มาตรา 7ทวิ วรรค3 ที่กำหนดไว้ เพื่อให้ "บุตรของคนต่างด้าวทุกกลุ่มที่ เกิดในประเทศไทย" สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องถูกดำเนินคดี
ในข้อหาเป็นคนต่างด้าวที่เข้ าเมืองผิดกฎหมาย ไม่ว่าบิดาหรือมารดาจะเข้ามาอยู่ ในประเทศไทยโดยชอบด้วยกฎหมายหรื อไม่ก็ตาม โดย "สิทธิอาศัย" ของบุตรจะเป็นไปตามสิทธิของบิ ดาหรือมารดา และสิทธิอาศัยนั้นก็จะติดตัวเด็ กต่อไปตราบเท่าที่ยังอาศัยอยู่ ในประเทศไทยโดยไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรื อศีลธรรมอันดี
โดยการให้สิทธิอยู่อาศัยตามร่ างกฎกระทรวงฉบับนี้จึงไม่เกี่ ยวกับการ "ให้ถิ่นที่อยู่" และ "ให้สัญชาติไทย" กับบุตรคนต่างด้าวที่เกิ ดในประเทศไทยแต่อย่างใด และไม่ได้เป็นการรับรองสิทธิหรื อให้สิทธิพิเศษอะไรแก่คนต่างด้ าวที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย เพราะคนต่างด้าวเหล่านั้นจะต้ องถูกดำเนินคดีหรือถูกปฏิบัติ ตามขั้นตอนต่างๆ ที่กฎหมายคนเข้าเมืองกำหนดไว้
สาระสำคัญของกฎกระทรวงฉบับนี้จึ งเป็นเพียงการรับรองสิทธิอาศั ยเฉพาะเด็กซึ่งเป็นบุตรที่เกิ ดในประเทศไทย มิให้ต้องตกเป็นผู้กระทำความผิ ดฐานเป็นคนเข้าเมืองผิ ดกฎหมายเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการได้สั ญชาติไทยซึ่งต้องเป็นไปตามขั้ นตอนของกฎหมายสัญชาติและหลั กเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็ นการเฉพาะ
และในการพิจารณาว่า "เด็กหรือบุตร" ของคนต่างด้าวรายใดจะได้ "สิทธิอาศัย" อยู่ในประเทศไทยได้ ตามกฎกระทรวงที่จะออกมานั้นหรื อไม่จะต้องดู 1. หลักฐานการเกิดของเด็กว่าเกิ ดในประเทศไทยหรือไม่ และ 2. หลักฐานการเข้ ามาในประเทศไทยของบิ ดาและมารดาซึ่งเป็นคนต่างด้ าวเป็นสำคัญ
เพื่อจะได้แยกแยะว่าเด็กจะอยู่ อาศัยในฐานะใด เช่น บิดามารดาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ ทางราชการได้จัดทำทะเบียนประวั ติไว้ซึ่งถือว่าเป็นคนต่างด้ าวที่ได้รับผ่อนผันให้อาศัยอยู่ ในประเทศไทยเป็นการชั่ วคราวโดยต้องอยู่ในพื้นที่ควบคุ ม บุตรของคนกลุ่มนี้ก็จะได้สิทธิ อาศัยอยู่ในประเทศไทยเหมือนบิ ดามารดาเช่นกัน หรือในกรณีที่บิดามารดาเป็นคนต่ างด้าวหลบหนีเข้าเมือง บุตรที่เกิดในประเทศไทยก็จะมี ฐานะเช่นเดียวกับบิดามารดา แต่อนุญาตให้เด็กอาศัยอยู่ได้ เป็นการชั่วคราว เพื่อรอการดำเนิ นการตามกฎหมายหรือรอนโยบายของรั ฐที่จะดำเนินการกับผู้เป็นบิ ดามารดา และเมื่อบิดามารดาเดิ นทางออกไปนอกประเทศไทย หรือถูกส่งกลับประเทศต้นทาง หรือเดินทางไปประเทศที่ 3 แล้วแต่กรณี เด็กก็จะเดินทางออกไปพร้อมกับบิ ดามารดาด้วย ดังนั้นกฎกระทรวงฉบับนี้จึงเป็ นการคุ้มครองเด็กที่เป็นบุ ตรของคนต่างด้าวที่เกิ ดในประเทศไทย ทำให้เด็กรอดพ้นจากการถูกจั บดำเนินคดีเช่นเดียวกับบิ ดามารดาเท่านั้น
เรื่องที่สอง เป็นการแก้ไขปัญหา "คนที่เกิดในประเทศไทยแต่ไร้สั ญชาติ" โดยคณะรัฐมนตรี ได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายสัญชาติ มีมติอนุมัติให้เด็กที่เกิ ดในประเทศไทยซึ่ง "เป็นบุตรของคนต่างด้าวที่เข้ ามาอยู่ในประเทศไทยเป็ นเวลานานแล้ว" และ อยู่ในระหว่างการศึกษาเล่าเรี ยน หรือเป็นกรณีที่เรียนจบปริ ญญาตรีแล้ว ให้มีสิทธิขอมีสัญชาติไทยเป็ นการทั่วไปตามขั้ นตอนของกฎหมายสัญชาติได้ 2 กรณี ได้แก่
(1) บุตรของคนต่างด้าวกลุ่มชาติพั นธุ์หรือชนกลุ่มน้อยที่ กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำทะเบี ยนและออกบัตรประจำตัวไว้แล้วกั บสำนักทะเบียนอำเภอ ซึ่งคนที่เป็นบิดาหรือมารดาจะต้ องเข้ามาอาศัยอยู่ ในประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี บุตรที่เกิดในประเทศไทยจึงจะมี สิทธิขอมีสัญชาติไทยได้
(2) บุตรของคนต่างด้าวอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์หรื อชนกลุ่มน้อย ที่เกิดและเรียนหนังสื อในประเทศไทยจนจบการศึกษาไม่ต่ำ กว่าปริญญาตรีแล้ว เท่ากับว่าเป็นคนอาศัยอยู่ ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 20 ปี ก็ให้สิทธิขอมีสัญชาติไทยได้เช่ นเดียวกับกรณีแรก
แต่ถ้าเด็กกลุ่มนี้ยังเรียนไม่ จบปริญญาตรี จะต้องให้รัฐมนตรีว่ าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้ ความเห็นชอบก่อนจึงจะขอมีสั ญชาติไทยได้ หรือถ้าเป็นกรณีเด็กที่ถูกบิ ดามารดาทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ จนไม่สามารถพิสูจน์ทราบข้อเท็ จจริงได้ว่าใครเป็นบิดามารดา เด็กจะใช้สิทธินี้ได้ต้องอาศั ยอยู่ในประเทศไทยมาแล้วไม่น้ อยกว่า 10 ปี โดยต้องมีหนังสือรับรองจากหน่ วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสั งคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงจะขอมีสัญชาติไทยได้
ขณะเดียวกันบุคคลทั้งสองกลุ่มที่ จะขอมีสัญชาติไทย ได้จะต้องมี "สูติบัตร" หรือ "หนังสือรับรองการเกิด" ที่ออกให้โดยนายทะเบียนของสำนั กทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบี ยนท้องถิ่น เป็นหลักฐานแสดงว่าเกิ ดในประเทศไทย และต้องมีทะเบียนบ้านหรือทะเบี ยนประวัติและบัตรประจำตัวที่มี เลขประจำตัวประชาชน 13 หลักและลายพิมพ์นิ้วมือพร้อมทั้ งรูปถ่ายตามที่นายทะเบี ยนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่ นออกให้ด้วย รวมทั้งต้องมีความประพฤติดี
นอกจากนั้น ผู้ขอมีสัญชาติไทยต้องเตรียมหลั กฐานอื่นที่จำเป็นต่อการพิ จารณาอนุมัติให้มีสัญชาติไทยด้ วย เช่น กรณีบุตรของชนกลุ่มน้อยก็ต้องมี ทะเบียนประวัติของบิดาหรื อมารดาที่แสดงว่าเป็นชนกลุ่มน้ อยที่ราชการได้จัดทำทะเบี ยนประวัติไว้หรือหลักฐานหรือหนั งสือรับรองของสถานศึกษาที่ แสดงว่าผู้ยื่นคำร้องอยู่ ในระหว่างการศึกษาหรือกรณีใช้คุ ณสมบัติการจบปริญญาตรี ก็ต้องมีปริญญาบัตรหรือหนังสื อรับรองจากสถาบันการศึกษา เป็นต้น
สำหรับหน่วยงานที่จะรับคำร้ องขอมีสัญชาติไทยของกลุ่มบุ คคลดังกล่าว ได้แก่ ที่ว่าการอำเภอ (สำนักทะเบียนอำเภอ)ตามภูมิ ลำเนาที่คนเหล่านั้นมีที่อยู่ ตามหลักฐานทะเบียนบ้านหรือทะเบี ยนประวัติที่ทางราชการจัดทำไว้ ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มมีนักเรียนนั กศึกษาซึ่งเป็นเด็กหรือเยาวชนที่ เกิดในประเทศไทยที่มีสิทธิยื่ นคำร้องขอมีสัญชาติ ไทยจำนวนประมาณ 80,000 คน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าข้ อเสนอของกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาคนไร้รั ฐและไร้สัญชาติที่มีจุดมุ่ งหมายเพื่อให้สิทธิเฉพาะเด็กที่ เกิดในประเทศไทยและอาศัยอยู่ ในประเทศไทยมานานไม่น้อยกว่า10 ปีถึง 20 ปี แล้วแต่กรณี จนมีวิถีการดำเนินชีวิตเหมื อนคนไทยทั่วไป และประการสำคัญเด็กหรือบุ คคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่อยู่ ในระหว่างการศึกษาหรือจบการศึ กษาระดับปริญญาตรีตามระบบการศึ กษาของไทยแล้ว ประกอบกับสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง มีฐานข้อมูลรายการบุคคลสำหรั บตรวจสอบป้องกันการสวมสิทธิไว้ แล้ว มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้ นจึงเป็นไปตามหลักการส่งเสริ มและคุ้มครองสิทธิเด็ กและเยาวชนทางด้านสิทธิมนุ ษยชนที่อยู่บนพื้ นฐานของกฎหมายสัญชาติที่ได้ ประกาศใช้มานานแล้ว แต่ยังไม่มีการออกกฎกระทรวงเพื่ อกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติให้ถู กต้องสมบูรณ์ รวมทั้งเป็นการปรับปรุงหลั กเกณฑ์เกี่ยวกับสัญชาติให้ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็ นธรรมซึ่งเป็นไปตามพันธกรณี ระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุ ษยชน เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเมืองและสิทธิทางการเมือง( ICCPR) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก(CRC) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคี มาตั้งแต่ พ.ศ.2539
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า มติคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ จึงเป็นการกำหนดให้ส่วนราชการที่ เกี่ยวข้องได้ดำเนินการให้เป็ นไปตามขั้นตอนของกฎหมายสัญชาติ ให้ถูกต้องและเกิดความเป็ นธรรมยิ่งขึ้น โดยหลังจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้เสนอร่ างกฎกระทรวงกำหนดฐานะและเงื่ อนไขการอยู่ในราชอาณาจั กรไทยของผู้เกิดในราชอาณาจั กรไทยซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย พ.ศ. ... ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎี กาตรวจพิจารณาเพื่อดำเนินการต่ อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น