pearleus

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562

พม. ดึงผู้แทน 13 ประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม ตบเท้าแสดงพลังขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคมสู่ความยั่งยืน รองนายกฯเผยดันร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจฯรองรับ

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค.62   เวลา 09.30 น. พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายก
รัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมอาเซียนบวกสามว่าด้วยกิจการเพื่อสังคม ภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคม สู่ความสำเร็จของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน” พร้อมด้วยนายอภิชาติ อภิชาตบุตร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงาน โดยมี พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) คณะผู้
บริหารกระทรวง พม. ผู้บริหารสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม ผู้บริหารบริติช เคานซิล ผู้แทนจากคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบด้านกิจการเพื่อสังคม ผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคมของประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามจำนวน 13 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย
เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม รวมทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ผู้แทนสำนักงานเลขาธิการอาเซียน และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 300 คน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องเลอ คองคอร์ด บอลรูม โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา
นายอภิชาติ กล่าวว่า ทุกประเทศทั่วโลกได้ตระหนักถึงปัญหาสังคมอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่สลับซับซ้อน และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่สัดส่วนการเกิดของประชากรลดลง ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น และวัยแรงงานลดลง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบสำคัญต่อความมั่นคง ของมนุษย์ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีความเห็นร่วมกันว่า มาตรการเชิงป้องกันทางสังคม (Social Protection) สามารถช่วยลดปัญหาและผลกระทบทางสังคม ดังกล่าวได้ ซึ่งการแก้ปัญหาไม่สามารถดำเนินการโดยรัฐบาลเพียงลำพัง จำเป็นต้องอาศัยภาคประชาสังคมและภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการร่วมกัน

สำหรับประเทศไทยได้มีนโยบายด้านสังคมที่สำคัญ ได้แก่ นโยบายการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ และการส่งเสริมการกระจายรายได้ โดยการขับเคลื่อนด้วยกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) เป็นกลไกสำคัญให้เครือข่ายทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคม นายอภิชาติ กล่าวต่อไปว่า ปี 2562 ประเทศไทยได้เข้าสู่วาระการเป็นประธานอาเซียน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ร่วมกับสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม บริติช เคานซิล เอสแคป และภาคีเครือข่าย จึงกำหนดจัดการประชุมอาเซียนบวกสามว่าด้วยเรื่องกิจการเพื่อสังคม ภายใต้แนวคิด“การขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคม สู่ความสำเร็จของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน”(Advancing Social Enterprises for Realisation of SDGs in ASEAN) ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 - 8 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ด้านกิจการเพื่อสังคมร่วมกัน และตระหนักถึงบทบาทความสำคัญของกิจการเพื่อสังคม ในฐานะที่เป็นนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาทางสังคมในการนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือ คุณภาพชีวิตของคนและสภาพแวดล้อม ในภูมิภาคอาเซียน ให้มีความยั่งยืน รวมทั้งเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคมของประเทศไทย





นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกิจกรรมสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. นิทรรศการ และ บูธแสดงผลการดำเนินงานของกิจการเพื่อสังคมของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน 2. ปาฐกถาพิเศษและการเสวนาจาก ผู้มีประสบการณ์ด้านกิจการเพื่อสังคมในระดับภูมิภาคอาเซียน 3. การเสวนาในรูปแบบ World Cafe ตามประเด็นสำคัญ ได้แก่ การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์อย่างทั่วถึง

และ 4. การศึกษาดูงานกิจการเพื่อสังคมของประเทศไทย ใน 4 ประเด็น ประกอบด้วย 4.1) บทบาทและนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมกิจการเพื่อสังคมและผู้นำการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทย 4.2) การท่องเที่ยวโดยชุมชน อย่างยั่งยืน และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำกิจการเพื่อสังคม 4.3) การสร้างอาชีพให้กลุ่มอดีตผู้ต้องขังและผู้ด้อยโอกาสและ การสร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้กลุ่มสตรีที่ขาดโอกาสทางสังคม และ 4.4) การส่งเสริมปศุสัตว์ในระบบอินทรีย์และระบบการค้าที่เป็นธรรม



“การประชุมครั้งนี้ เป็นเวทีหนึ่งในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ด้านกิจการเพื่อสังคมในภูมิภาคอาเซียนระหว่าง ผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหน่วยงานภาคราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกิจการเพื่อสังคม ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคมในภูมิภาค เพื่อให้การดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันตามบริบทของแต่ละประเทศ ก่อให้เกิดความเข้มแข็งของเครือข่ายการทำงานในระดับภูมิภาคอาเซียน อันจะนำไปสู่ การพัฒนาและสวัสดิการสังคมที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนต่อไป” นายอภิชาติ กล่าวในตอนท้าย


พลเอกฉัตรชัย  ให้สัมภาษณ์ ถึงสถานการณ์ด้านสังคมในประเทศไทย ว่า  ได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2564 โดยคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2574 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด คือ มีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด และอัตราการเกิดน้อย ประชากรวัยทำงานลดลง ซึ่งการพัฒนาตามกระแสโลกาภิวัตน์ ในเมืองมีความเจริญแต่ในพื้นที่ห่างไกลยังมีกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน และกลุ่มคนพิการ คนยากจน ผู้ด้อยโอกาส คนชายขอบ ไม่สามารถเข้าถึงระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม   รัฐบาลจึงมีนโยบายแก้ไขปัญหาสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำการพัฒนา
สังคมควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ ตามแนวคิด ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ทั้งนี้การแก้ปัญหาจะดำเนินการโดยรัฐบาลเพียงลำพังไม่ได้  ต้องให้ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาไปด้วยกัน หรือเรียกว่ากระบวนการ “ประชารัฐ” กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) จึงเป็นกลไกหนึ่งของกระบวนการประชารัฐ  ในการแก้ไขปัญหาสังคม โดยภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจได้นำกำไรที่ได้จากผลประกอบการมาใช้ในวัตถุประสงค์หลักของกิจการเพื่อแก้ไขปัญหาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสังคมผลประโยชน์ตกอยู่กับสมาชิกและชุมชนที่เข้าร่วมกิจการ

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาประเทศได้ดำเนินกิจการเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จในหลายด้าน อาทิ โครงการพระราชดำริหลายพันโครงการ ยกตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องในระดับนานาชาติ ให้เป็นหนึ่งในต้นแบบของกิจการเพื่อสังคม มีเป้าหมายเพื่อลดการปลูกพืชเสพติด และแก้ปัญหาความยากจน ทำให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาสังคมและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม



ดังนั้นการขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย ได้มีคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (คกส.) เป็นกลไกสำคัญ ซึ่งขณะนี้ได้ผลักดันร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ในเร็วๆ นี้

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประโยชน์ของการประชุมอาเซียนบวกสามในครั้งนี้ว่า เราเล็งเห็นความสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคมในภูมิภาคอาเซีย เพื่อให้เกิดเครือข่าย เกิดความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อให้ได้แนวทางในการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามบริบทของแต่ละประเทศ ก่อให้เกิดความเข้มแข็งของเครือข่ายการทำงานระดับภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาและสวัสดิการที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เป็นเวทีหนึ่งในการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ประสบการณ์ด้านกิจการเพื่อสังคมในภูมิภาค ซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้แทนประเทศ
สมาชิกอาเซียน ส่วนราชการ และหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกิจการเพื่อสังคม


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น