RISE– Regional Corporate Innovation Powerhouse หรือสถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับพันธมิตรองค์กรธุรกิจชั้นนำ ได้แก่ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท.สผ., กรุงศรี ฟินโนเวท ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) , ไทยรัฐ, Enterprise Singapore และสำนักงาน ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จัดงาน RISE.AI Demo Day 2019 งานเดียวที่จัดแสดงผลงานของ 30 สตาร์ทอัพ จากทั่วโลกที่เข้าร่วมโปรแกรม RISE.AI ซึ่งเป็นโปรแกรมเร่งสปีดการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในองค์กรและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีองค์กรธุรกิจสตาร์ทอัพและนักลงทุน เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ หรือหมอคิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง RISE กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) กำลัง เติบโตและมีผลกระทบอย่างมากต่อ ทั้งธุรกิจและสังคม ทำให้องค์กรต่าง ๆ หันมาสนใจการพัฒนาเทคโนโลยี AI มากขึ้น เนื่องจากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้จะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ก่อให้เกิดการแข่งขันและสร้างรายได้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโปรแกรม RISE.AI นั้น เป็นโปรแกรมเร่งสปีดการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในองค์กรโดยมีการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรพาร์ทเนอร์ที่ครอบคลุมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก และจากความเชี่ยวชาญของ RISE ในการนำ AI มาใช้ พัฒนานวัตกรรมองค์กร เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและนำไปใช้ได้จริง เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจและสามารถตอบโจทย์ขององค์กรชั้นนำได้ด้วยการเชื่อมต่อแนวคิดเชิงนวัตกรรมเข้ากับแนวทางปฏิบัติที่ประยุกต์ใช้ได้ในการเร่งสปีดการพัฒนา เทคโนโลยี AI จะช่วยให้องค์กรระดับภูมิภาคต่าง ๆ สามารถปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมและยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพและรักษาความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจโลกที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้
การจัดงาน RISE.AI Demo Day 2019 ครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงผลงานของสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรม AI ที่ดีที่สุดจากทั่ว โลก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI มาร่วมกันพัฒนาโครงการนำร่องกับบริษัทชั้นนำในภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยได้รวบรวมสตาร์ทอัพ 30 ทีมระดับโลก ซึ่งมีลูกค้าเป็นบริษัทชั้นนำในภาคธุรกิจต่าง ๆ เช่น ด้านการเงินและการธนาคาร ด้านประกันภัย ด้านพลังงานและเทคโนโลยีสะอาด เป็นต้น ซึ่งมีองค์กรธุรกิจชั้นนำในประเทศไทยที่ร่วมเข้าโปรแกรม RISE.AI ได้แก่ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.), กรุงศรี ฟินโนเวท ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ไทยรัฐ, Enterprise Singapore และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) โดยมีสตาร์ทอัพชั้นนำ 30 บริษัทเข้าร่วม จากกว่า 10 เมืองทั่วภูมิภาคเอเชียและจากสหรัฐอเมริกา
โดยสตาร์ทอัพชั้นนำ 30 ทีมจากทั่วโลกที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้าย ประกอบด้วย
1.ABEJA (ญี่ปุ่น) เป็นแพลตฟอร์มที่รวมเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยและช่วยให้สามารถทำการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนด้วยข้อมูลที่สะสม นอกจากนี้แพลตฟอร์ม ABEJA ยังเสนอบริการที่หลากหลายที่เหมาะสำหรับธุรกิจค้าปลีก การผลิต และโครงสร้างพื้นฐาน
2.ABIVIN (เวียดนาม) ให้บริการโซลูชั่นครบวงจรสำหรับ WMS (ระบบการจัดการคลังสินค้า) และ TMS (ระบบการจัดการการขนส่ง) มีความเชี่ยวชาญในการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางสินค้าคงคลัง
3.ADVANCE.AI (สิงคโปร์) นำเสนอแพลตฟอร์มศูนย์กลางข้อมูล เปลี่ยนอุตสาหกรรมดั้งเดิมและตลาดเกิดใหม่ทั่วเอเชียแปซิฟิก ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท VC ชั้นนำจาก Silicon Valley
4.Antworks (สิงคโปร์) แพลตฟอร์ม AntWorks ANTstein สร้างข้อมูลดิจิทัลสำหรับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย สร้างบอท(bots) ที่เหมือนมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่ low-code / no-code คิดค้นวิธีใหม่ในการทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนเป็นไปโดยอัตโนมัติ
5.AnyMind (สิงคโปร์) เป็นองค์กรที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมผ่านปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมการตลาดโซลูชันแบบ end-to-end โดย บริษัทภายใต้กลุ่ม AnyMind ครอบคลุมการตลาดที่มีอิทธิพลการโฆษณาเชิงโปรแกรมและดิจิตอล และการสร้างรายได้จากสำนักพิมพ์ สำหรับอุตสาหกรรมทรัพยากรมนุษย์
6.ARIS (ประเทศไทย) สร้างโซลูชันการค้าปลีกออนไลน์อัตโนมัติ ที่นำเสนอเซสชั่นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่สวยงามและใช้งานง่ายด้วย AI ChatBot ที่สามารถทำการขายอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การเลือกผลิตภัณฑ์ไปจนถึงรายละเอียดการจัดส่ง
7.Atomionics (สิงคโปร์) สร้างเซ็นเซอร์อะตอมที่ควบคุมคุณสมบัติเชิงกลของควอนตัมของอะตอมทำให้สามารถวัดค่าพารามิเตอร์ได้ด้วยความแม่นยำที่สูงขึ้นถึง 1000x นำไปสู่วิธีการใหม่ในการกำหนดตำแหน่งทั่วโลกและการสำรวจแหล่งที่มา
8.Backyard (ประเทศไทย) รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องจักรและการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) ให้ข้อมูลการวิเคราะห์ในแดชบอร์ดบนเว็บที่ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพของฟังก์ชั่นการขายและการตลาดของลูกค้า
9.Cinnamon (ญี่ปุ่น) คือการเริ่มต้นระบบ Enterprise AI ระดับโลก ซึ่งให้บริการเครื่องอ่านเอกสาร AI เพื่อทำการดึงข้อมูลจากเอกสารที่ไม่มีโครงสร้างไปยังอุตสาหกรรมการเงินโดยอัตโนมัติ
10.Claim Di (ประเทศไทย) เป็นการเริ่มต้นของ InsureTech ที่อำนวยความสะดวก การสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และ บริษัทประกันภัย ช่วยให้กระบวนการอ้างสิทธิ์ทำได้ง่ายและเร็วขึ้น ไม่เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง ปัจจุบัน Claim di ก้าวไปข้างหน้าอย่างมากในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อช่วยให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
11.Cloudbreakr (ฮ่องกง) เป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อผู้ชาญฉลาดที่เชื่อถือได้ เพื่อค้นหาผู้สร้างเนื้อหาในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อการสนับสนุนการขายและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจโดยใช้ novel matching algorithm
12.Digital Dialogue (ประเทศไทย) นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์(AI) ให้ความสำคัญกับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP)
13.H3 Dynamics (สิงคโปร์) เป็นบริษัทเน้นเรื่องการบำรุงรักษาและระบบการรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ
14.HiBot (ญี่ปุ่น) หุ่นยนต์ตรวจสอบสำหรับอุตสาหกรรม มีความเชี่ยวชาญในการใช้งาน 3D: Dirty, Demanding และ Demeaning โดยเชื่อว่าหุ่นยนต์ควรใช้เป็นเครื่องมือสำหรับมนุษย์ เพราะบางพื้นที่มันอันตรายเกินไปหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้มนุษย์ทำ
15.Firebox.AI (สิงคโปร์) เป็นระบบจัดการเอกสารองค์กรแห่งแรกของโลกที่ใช้ AI เพื่อทำความเข้าใจกับเอกสารรูปภาพและวิดีโอที่อัปโหลดและอนุญาตให้ผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาภายในด้วยภาษาธรรมชาติ (NLP) และยังป้องกันเอกสารลับจากการโจรกรรมและกิจกรรมของผู้ใช้ที่น่าสงสัยโดยอัตโนมัติ
16.iApp Technology (ประเทศไทย) ผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) เน้นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP)
17.Insight Robotics (ฮ่องกง) คือการเปิดใช้การจัดการความเสี่ยงแบบแอคทีฟของสินทรัพย์ของโลก โดยการสร้างและทำความเข้าใจกับข้อมูล
18.Jump AI by SnapLogic (ประเทศไทย) พัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทำให้ผู้ใช้งานด้านไอทีและธุรกิจสามารถสร้างท่อส่งข้อมูลที่มีคุณภาพและปรับขนาดได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกับคนที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมและทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันในสถานที่หรือในระบบคลาวด์
19.Lawlity by ACAYA (ประเทศไทย) เป็นสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านกฎหมาย ที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทางกฎหมายและการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP)
20.Nearthlab (เกาหลีใต้) เป็นบริษัทโดรนอิสระที่มุ่งเน้นการใช้ AI สำหรับการตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างและการบำรุงรักษาแบบคาดการณ์ล่วงหน้า
21.OhmniLabs (เวียดนาม) บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในการสร้างโมดูลหุ่นยนต์ที่มีความยืดหยุ่นและกระบวนการผลิตสารเติมแต่งที่ปรับขนาดได้ หุ่นยนต์ Ohmni ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเป็นหุ่นยนต์ทางไกลเสมือนจริงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ โดยวิธีการเชื่อมต่อจากบ้าน, ธุรกิจ, ห้องเรียน ไปยังโรงพยาบาล
22.Popular Robotics (ประเทศจีน) แพลตฟอร์มเครือข่ายการศึกษาและโซเชียลยอดนิยมของ Robotics; Robociti ปฏิวัติวิธีการสอนของวิทยาการหุ่นยนต์ โดยทำให้ทุกคนเรียนรู้วิธีสร้างหุ่นยนต์ใช้ในชีวิตประจำวันและเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ง่าย
23.Primo (ประเทศไทย) เป็นแพลตฟอร์มการโปรโมทข้ามออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถหาลูกค้าใหม่และเพิ่มความภักดีในกลุ่มลูกค้าเดิมด้วยการโปรโมทข้ามกัน
24.Pulsifi (สิงคโปร์) เป็นแพลตฟอร์มการวิเคราะห์การคาดการณ์ทรัพยากรบุคคลที่ใช้วิทยาศาสตร์ข้อมูลจิตวิทยาและเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้องค์กรชั้นนำสามารถแยกแยะ รักษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดี เพื่อความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว
25.Ricult (ประเทศไทย) โซลูชั่นดิจิทัลทางการเกษตรสำหรับผลผลิตและการทำกำไรของเกษตรกรรายย่อย มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นส่วนประกอบสำคัญของการเกษตรแห่งอนาคต พร้อมข้อมูลเชิงลึกด้านการเกษตรและการวิเคราะห์ตลาด
26.r4 (สหรัฐอเมริกา) เป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการจัดการข้ามองค์กร นำเสนอผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น ในปี พ.ศ. 2562 ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ขายที่ยอดเยี่ยมของ Gartner ใน AI Core Technologies
27.Qlue (อินโดนีเซีย) เป็นบริษัทจัดการแรงงานที่ใช้เทคโนโลยี AI vision และ BI ที่ครอบคลุม ภารกิจหลักคือการเร่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกโดยทำงานร่วมกันสำหรับอินโดนีเซีย
28.SkynetSystems (ประเทศไทย) สร้างอินเทอร์เฟซระบบสำหรับการส่งคำสั่งซื้อซึ่งสามารถรับใบสั่งขายจากระบบการซื้อขายแบบอัลกอริทึม (Algorithm)
29.Uni Ubi (ประเทศจีน) เทคโนโลยี Facial Recognition พร้อมโซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัย
30.StaffAny (สิงคโปร์) เป็นโซลูชั่นการจัดการแรงงานสำหรับพนักงานรายชั่วโมง ช่วยการทำงานโดยการเชื่อมต่อแรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการมอบรางวัล Best Collaboration Award ให้กับสตาร์ทอัพ ที่สามารถสร้างผลงานการทำงานร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม และรางวัล Fan’s Favorite Award ให้แก่สตาร์ทอัพที่ได้รับการลงคะแนนจากผู้เข้าร่วมงานมากที่สุด
“ในอนาคตต่อไปข้างหน้าการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีโดยรวมของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการจัดโปรแกรม RISE.AI จะช่วยให้ องค์กรระดับภูมิภาคต่าง ๆ สามารถปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสมและยกระดับผลิตภัณฑ์ และบริการต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบัน อุตสาหกรรม AI กำลังเติบโตและมีผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมทั้งในด้านธุรกิจและสังคม องค์กรภาคธุรกิจเองก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนามากมายไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแนว ทางการดำเนินธุรกิจ การปฏิรูปวิธีการ และเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เพื่อให้องค์กรสามารถทำธุรกิจของตนเองและแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมในระดับโลก” นายแพทย์ศุภชัย กล่าวสรุป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น