ในยุคสมัยที่การทำการเกษตรเริ่มตกมาอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ จึงเป็นที่น่าอิจฉามากที่สุดของคนเมืองที่อาศัยอยู่บนตึกระฟ้า ก้มหน้าก้มตา ตื่นเช้าออกไปรับจ้างหาเงินมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนกระทั่งการแต่งเมีย สุดท้ายก็ผ่อนไปยันค่าเทอมลูกเข้าเรียนอนุบาลที่แพงจนหูฉี่ เพราะสังคมกำหนดให้เราเดินตามก้นต้อยๆเพื่อปฏิบัติอย่างนั้น
เอาเถอะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงใครได้ วันนี้ เรามาชวนไปท่องเที่ยวเชิงเกษตรกันในจังหวัดนครปฐม ผืนดินที่อยู่ติดกับกทม.เอาให้ปอดชุ่มฉ่ำไปด้วยออกซิเจนกลับเข้ากรุงตัวเขียวกันไปเลยค่ะ
กิจกรรม Press Tour ท่องเที่ยวเชิงเกษตรสุขใจ ในนครปฐม ที่เครือข่ายของกรมส่งเสริมการเกษตรจัดให้ครั้งนี้ เพราะ คลองมหาสวัสดิ์ ได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมการเกษตรให้อยู่ใน “50 แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรต้องชม” ประจำปีงบประมาณ 2561 โดยวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรล่องเรือชมสวนเลียบคลองมหาสวัสดิ์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ออกจากกรุงเทหมานคร เรามุ่งมาเจอและรวมตัวกันที่ วัดสุวรรณาราม ณ ชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑล ฟังเรื่องราวความเป็นมาของ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนล่องเรือชมสวนเลียบคลองมหาสวัสดิ์” จาก"มนูญ นราสดใส" ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ กันพอรู้เรื่องก่อนล่องเรือชมบรรยากาศของข้างคลอง สูดเอาออกซิเจนเข้าปอดดังๆแบบตั้งใจ กดภาพความงดงามไว้เป็นความทรงจำ ก่อนจะไปขึ้นเรือที่ "นาบัวลุงแจ่ม" มี"ประไพ สวัสดิ์โต "เจ้าของนาบัวลุงแจ่ม ทายาทรุ่นสองบอกเล่าถึงการทำนาบัวพันธุ์ฉัตรบุตส์ และฉัตรบงกช (หรือบัวที่เรานำมาบูชาพระ) ที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้การทำนาบัว พายเรือเก็บบัวกลางบึงเรียนรู้การพับกลีบดอกบัวและรับประทานเมี่ยงคำบัวหลวง นำเอากลีบของบัวหลวงแทนใบทองหลางหรือใบชะพลูห่อเมี่ยงอร่อยมากไม่แพ้กัน อิมหนำทั้งภาพทั้งชิม
ลงเรือไปกันต่อที่บ้านฟักข้าว มะนาวโตงเตง...ฟังสารพันประโยชน์ของฟักข้าว..ตามด้วยเสียงแหล่ชมคลองมหาสวัสดิ์สุดยอดจากคุณยายบำรุง(จิ๋ม)พินิจกุล เราได้ความรู้มากมายจากประโยชน์ฟักข้าวไม่มีเม้ม ทั้งการแปรรูปฟักข้าว จนกลายเป็นอาชีพและจุดขายใหม่ของชุมชน เราได้ชิมหมี่กรอบจากฟักข้าว และน้ำฟักข้าวชื่นใจดับกระหาย รู้มาว่ามีซอสก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟจากฟักข้าวด้วย
จากท่าฟักข้าวเราไปต่อที่กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรมหาสวัสดิ์ ชมและชิมพร้อมฟังเรื่องราวความเป็นมาของข้าวตังแห่งบ้านศาลาดิน
"เกาะลัดอีแท่น"รอเราอยู่เป็นคิวถัดไป กราบพระที่วัดไร่ขิงและขึ้นรถรางที่นั่น ลัดเลาะ ชมเกาะ ด้วยบรรยากาศสุดแสนจะคลาสสิค "เกาะลัดอีแท่น" เป็นคลองที่ขุดจากแม่น้ำท่าจีนจากปากคลอง อยู่ระหว่างตำบลทรงคะนองกับตำบลหอมเกร็ด อยู่เหนือวัดทรงคะนองโดยทะลุ อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำท่าจีน ระหว่างตำบลไร่ขิงกับตำบลท่าตลาด ก่อนจะถึงสะพานโพธิ์แก้ว
ในระหว่างที่คลองลัดตัดผ่านจึงกลายเป็นเกาะที่เรียกว่า "เกาะลัดอีแท่น" ประกอบด้วย 3 ตำบล คือ ไร่ขิง บางเตย และทรงคะนอง เส้นทางที่รถรางนำเราแวะเวียนไปนั้น เป็นสวนเกษตร มีคลองใหญ่บ้างเล็กบ้างตลอดเส้นทาง และคลองต่างๆ จะมีชื่อเรียกมาจากสมัยโบราณ จะตั้งชื่อตามสถานที่ การเพาะปลูก วิถีชีวิตชุมชนมีการปลูกพืชหลายๆชนิด ปนกันอยู่ในสวนและสวนส่วนใหญ่จะยกร่องสำหรับเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง มีทั้ง มะพร้าว หมาก กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ มะละกอ ส้มโอ ฯลฯ ผลไม้ที่ทำชื่อเสียงมาสู่เกาะลัดอีแท่น คือ ส้มโอ ที่มีอยู่ด้วยกันหลายพันธ์ด้วยกันเราแวะชมพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตชุมชนคลองผีเสื้อ หรือพิพิธภัณฑ์บ้านปู่พนม ศรีสนิท ที่สะสมของใช้โบราณหลากหลายรุ่นที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และของลุงพนมเอง มากมายให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้และศึกษา ,
ถัดจากนี้เราแวะวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกาะอีแท่น ที่นี่บรรยากาศได้อารมณ์ ระหว่าง
รอกินติมข้าวไรซ์เบอรรี่ บนเรือนไม้ไผ่ที่มีระเบียงยาวชมวิว ให้ได้ปลดปล่อยความรู้สึกไปสัมผัสกับ ท้องนา บ่อปลา และลมที่พัดเอือยเฉื่อยปะทะใบหน้ารินๆ
สุดท้ายของวัน เราแวะจุดเครือข่ายสวนผลไม้อินทรีย์ ร้านหวานทุกวัน ของป้าสุรี รุ่งเรือง ชมการสาธิตการจักสารตะกร้าทางมะพร้าว การทำเครื่องจิ้มผลไม้แบบต่างๆ เรียนรู้“ ผลไม้อินทรีย์ วิถีคนสวน” กับ ลุงพิสิทธิ์ พันธุ์ศรี ประธานกลุ่มพายเรือล่องคลองจินดาชมบรรยากาศและชมสวนผลไม้ที่ได้จากการทำเกษตรอินทรีย์ ก่อนจะปิดท้ายมื้อเย็นที่ บ้านสวนพันธ์ศรี อิ่มอร่อยกับหลากเมนูปลาและความกรอบอร่อยของสารพันผักสดจิ้มน้ำพริก..จบความคุ้มค่าของการใช้เวลาหนึ่งวันที่นี่....วิสาหกิจชุมชนฯ
วันที่ 2 ในกำหนดทางการ ระบุว่า ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีเกษตรมณฑลไชยศรี (แหลมมบัว-วัดละมุด ) อำเภอนครชัยศรี ประเดิมวันใหม่ ด้วยอากาศฉ่ำปอด ที่ ฟาร์มกล้วยไม้ "บิ๊ก การ์เด้นท์" โดยมี"คุณบิ๊ก โชติพัฒน์ อ่อนฟุ้ง "ทายาทผู้สืบสานงานด้านการเกษตรจากครอบครัวด้วยใจรัก
เสียง โห สวยอะ ของพวกเรา สลับกับอรรถาธิบายของเจ้าของสวนและคุณแม่ และการตอบคำถาม นี่ชื่ออะไร นี่อะไร เลี้ยงยังไง อึงอลแต่ไม่ถึงกับเซ็งแซ่ นอกจากโรงเรือนกล้วยไม้หลากสายพันธ์แล้ว ยังมี "เคราฤษี"เคราสมชื่อจริงๆ ระย้า ห้อยพวงเป็นเคราเล็ก เคราใหญ่ เครากลาง แขวนเรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม รอรับแขกผู้มาเยือนอย่างยินดี
"บิ๊กการ์เด้นท์"คือผู้ส่งออกรายหนึ่งของไทยเรา โดยเฉพาะเคราฤษี นั้น ขึ้นชื่อว่าเป็น"ผู้ฟอกอากาศ"ประเทศไต้หวันชื่นชอบมาก ซึ่งคุณบิ๊กบอกกับพวกเราว่า เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก แถมยังเลี้ยงง่าย ให้น้ำ ให้แดดอยู่อยู่ได้แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ นักเลี้ยงมือสมัครเล่นทั้งหลายไม่รีรอจะอุดหนุน หอบหิ้วกันกลับกทม. หางานหนักๆฟอกอากาศเมืองกรุงแก่"เคราฤษี"ท่านสักหน่อย หวังว่าท่านจะไม่ชิงเหนื่อยเหี่ยวเฉาละสังขาร ไม่อึดอย่างคุณบิ๊กบอกน่ะค่ะ
ถัดมาแวะสวนเกษตรนกกระเต็น ตื่นเต้นกับการได้เห็นต้นเมล่อนญี่ปุ่น ราคาหน้าสวนชี้นิ้วจิ้มตัด กก.ละ150 บาท หลายคนไม่รีรอ เอาค่ะ เอาค่ะ ได้รู้จัก มะเดื่อฝรั่ง ในชีวิตไม่เคยเห็นไม่เคยกิน ได้ลิ้มรสสดๆก็ที่นี่ละ เคี้ยวกันตุ้ยๆ เพลินๆอืม หวานอร่อย ยิ่งได้ยินว่า กก.ละ 400 แม่เจ้า กินเหอะอย่าคิดมาก ที่นี่หลากหลายสินค้าเกษตร มีไข่เค็มสมุนไพรให้ซื้อหาด้วย
ไปต่อที่ศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อ.นครไชยศรี จ.นครปฐม ของ"ลุงป๊อบ" ณรงค์ กลิ่นถือศีล ประธานศูนย์ฯ ที่นี่ใหญ่โตอลังการกับพื้นที่ 60 ไร่ ไปแล้ว ประวัติลุงป๊อบมีมากมายให้หาอ่านไม่ต้องสาธาธยาย เพราะศึกษาหลักการทำเกษตรทฤษฏีใหม่ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่ทรงชี้แนะแนวทางให้แก่เกษตรกร
ไทยจัดสรรพื้นที่ทำการเกษตรให้เหมาะสมมีความหลากหลายและครบวงจร เพื่อก่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง ศูนย์เรียนรู้ที่นี่จึงมีผู้คนและองค์กรตลอดจนนักเรียนแวะเวียนมาศึกษาเรียนรู้ไม่ขาดสาย
จุดอำลาของวันนี้เป็นมื้อเที่ยงที่ถูกใจหลายคนสุดๆ เพราะทั้งบรรยากาศและอาหาร ถูกปาก ข้าวยำน้ำบูดูปักษ์ใต้ เดินทางมาเฉิดฉายบริการถึงที่หนองงูเหลือม เชิญชวนให้เที่ยวสวนแบบคนกล้าลอง ณ ไผ่ตอง จึงไม่ต่างจากร้านอาหาร ท่ามกลางธรรมชาติ ริมคลองหนองกร่าง ที่เกษตรกรวิถีพอเพียงรวมตัวกันกว่าสิบราย
เจ้าบ้าน"ณารินทร์ ทองยี่สุ่น" ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรเมืองนครปฐม ตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเมือง นครปฐม นำทีมให้การต้อนรับ ลมเย็นพัดแผ่วระเรื่อยล้อน้ำเป็นเกลียวคลื่นเล็กๆพลิ้วไหว เราได้โอกาสพักทานมื้อเที่ยงประจำวัน หากตามคอนเซ็ปต์ของเจ้าบ้านคือ “กินข้าวบ้านเพื่อน” การต้อนรับด้วยข้าวยำน้ำบูดูจากฝีมือชาวปัตตานี ถูกใจเพื่อนคนนี้ขนาด 3 ชามบรรจุ ผักฝอยๆสารพัน มีกระถินปอกเรียงเม็ดเขียวเล็กพร้อมกิน ดอกดาหลา ใบมะกรูดอ่อนหั่นฝอย ส้มโอ ฯลฯ ก่อนอาหารมื้อ นั้นเราโด๊ปน้ำกระชาย เรียกน้ำย่อย คนกินไม่ยากอย่างเรา อะไรก็อร่อย
เสร็จภารกิจถึงคิวล่องแพลาก ไปกินมะพร้าวน้ำหอมจากมือชาวสวน เจ้าของบ้านเป็นพลขับเอง น้ำมะพร้าวก็ของแม่ท่านเองแหละ สุขใจไหนปานกับชีวิตแบบนี้ คิดแล้วก็อิจฉาตาร้อนผะผ่าวเชียว แพลากไปเเอื่อยๆไม่ต้องกลัวเสียว ถึงริมสวน คุณยายท่านเฉาะฉุบฉับๆส่งให้พวกเรา กินกันสดๆบนแพ...ได้เที่ยวแบบนี้เดือนละครั้งก็ลดความอับเฉาได้แล้วชีวิต...
บรรดานักท่องเที่ยว มีโซเชี่ยลให้ศึกษา เลือกเอาเถิดตามแต่ใจ สำหรับคนชอบเที่ยวไม่ไกลกรุงเทพฯหากมีเวลาน้อยและอยากเที่ยวได้ทั้งวันไปได้หลากหลายพื้นที่แบบเราก็ นครปฐม นี่เลย พวกเเขารอคุณอยู่....
****************
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น