ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27-28 เม.ย.61 นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) คณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) พร้อมนสื่อมวลชนจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาการค้าประเวณีและการค้ามนุษย์ โดยมี พ.ต.ท. หญิง ธาราทิพย์ จำรัส รองผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย และ นายอาทร จันทร์พิลา ประชาสัมพันธ์จังหวัดหนองคาย เสนอแนวทางการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จังหวัดหนองคาย พร้อมนำคณะฯ เยี่ยมชมเครื่องตรวจพาสปอต ของ ตม. โดยมี ร้อยตำรวจเอก อภิชาติ คลธา รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย เป็นวิทยากรบรรยาย
จากนั้นคณะฯเดินทางต่อไปยังโรงแรมอัศวรรณ อธิบดีสค.เป็นประธานเปิดการเสวนา “การพัฒนาบทบาทผู้นำทางสังคมด้านสตรีและครอบครัว” เพื่อรวมพลัง หยุดยั้ง การค้าประเวณี และการค้ามนุษย์ด้านสตรีและเด็ก ภายใต้กิจกรรมเสวนาสัญจรพลังบวกสาม ภาครัฐ สื่อ และประชาสังคมเพื่อสตรีและครอบครัว ร่วมต่อจิ๊กซอร์ประกาศให้สังคมรับรู้ และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือ “ประชารัฐรวมพลังหยุดค้าประเวณี ค้ามนุษย์” ก่อนปล่อยขบวนรณรงค์ป้องกันการค้าประเวณีและการค้ามนุษย์ มุ่งหน้าไปยังลานพญานาคหน้าเทศบาลเมืองหนองคาย โดยมี นายสุชาติ ทีคะสุข รองผู้ว่าฯหนองคาย นางบุญรดา ทัพมงคล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองคาย ภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ-เอกชน- ประชาชนทั่วไป สภาเด็กและเยาวชน ในพื้นที่หนองคาย ตลอดจนสื่อมวลชน ร่วมเดินขบวนกว่า 300 คน
นายเลิศปัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันสตรีและเด็กตกเป็นเหยื่อของการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นจำนวนมาก ดังนั้น สังคมจึงต้องเฝ้าระวังและคอยสอดส่องดูแล ไม่ให้เกิดปัญหาของการถูกทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงทำให้สตรีหรือเด็กมีโอกาสเข้าสู่กระบวนการค้าประเวณี ค้ามนุษย์ มาจากหลายสาเหตุ เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา ความไม่รู้เท่าทัน ถูกหลอกลวง รวมถึงมีแรงงานแฝงหรือแรงงานข้ามชาติเข้ามาทางตะเข็บชายแดนเพื่อค้าประเวณี พม. โดย สค. ตระหนักถึงความปลอดภัยและการปกป้องสิทธิมนุษยชนของสตรีและเด็กจึงจัดกิจกรรมเสวนาสัญจรพลังบวกสาม ภาครัฐ สื่อและประชาสังคมเพื่อสตรีและครอบครัวขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจ บทบาทหน้าที่การทำงาน และการเตรียมพร้อมของภาคส่วนต่าง ๆ อันจะเป็นประโยชน์สำหรับการขับเคลื่อนงานด้านสตรีและครอบครัว ในการปรับองค์กรให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสนับสนุนการก้าวไปสู่ ไทยแลนด์ ๔.๐
" พลังประชารัฐ ประกอบด้วย คนในชุมชน หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนที่เป็นกลไกสำคัญในการส่งต่อข้อมูล ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านสตรีและครอบครัวที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ ให้แก่สตรี ครอบครัวและสังคมให้สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม และเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและแก้หาการค้าประเวณีที่อาจจะก้าวไปสู่การค้ามนุษย์ได้ ซึ่งเรามีศูนย์ช่วยเหลือคนไทยทั้งในและต่างประเทศ โทรสายด่วน 1300 มีหน่วยเคลื่อนที่เร็วบริการในภาวะวิกฤตตลอด 24 ชั่วโมง” นายเลิศปัญญา กล่าวในตอนท้าย
พร้อมกันนี้คณะฯได้เดินทางไปยัง โรงเรียนหินฮาวคุรุประชาสรรค์ บ้านหินฮาว ตำบลโนนฆ้อง อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น นายเลิศปัญญา เปิดการเสวนา “การพัฒนาบทบาทผู้นำทางสังคมด้านสตรีและครอบครัว” โดยมีวิทยากรร่วมเสวนาทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นางพัชรี อาระยะกุล รองอธิบดีฯสค. นายศุภชัย คำภู ประธานเครือข่ายกลุ่มอาชีพสตรีบ้านหินฮาว นายอัตรา ขุนทองจันทร์ อัยการจังหวัดผู้ช่วย สำนักงานอัยการจังหวัดคดีศาลแขวงภูเก็ต นายสราวุธ ศรีพัก นักพัฒนาชุมชนชำนาญการ ในฐานะเลขานุการศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนห้วยม่วง (ศพค.ห้วยม่วง) อ.ภูผาม่าน ขอนแก่น และรับเกียรติจาก รศ.ดร.ดุษฎี อายุวัฒน์ ดำเนินรายการและวิทยากรร่วมเสวนา เกี่ยวกับการดูแลช่วยเหลือหญิงไทยในต่างประเทศ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ /สะท้อนปัญหา ผู้ได้รับผลกระทบจากการเดินทางไปต่างประเทศ และการดูแลชุมชน เฝ้าระวัง ให้คำแนะนำ เนื่องจาก ชุมชนดังกล่าวก็เป็นอีกชุมชนหนึ่งที่สตรีสมรสกับชาวต่างชาติค่อนข้างมาก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมรับฟังการเสวนากว่า 300 คน
อธิบดีฯสค.ยังนำคณะฯ ร่วมกิจกรรม CSR มอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และของเล่นให้แก่เด็กนักเรียน โดยมีนายอุทัย คงอุ่น ผอ.โรงเรียนหินฮาวคุรุประชาสรรค์ เป็นผู้แทนรับมอบ และยังเดินเยี่ยมชมผลสัมฤทธิ์จากการฝึกอาชีพให้แก่สตรีในชุมชนของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น ซึ่งสตรีกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ได้นำสินค้าและผลิตภัณฑ์ มาแสดงและจำหน่าย จากนั้นลงพื้นที่พบปะชุมชน เยี่ยมชมกลุ่มสตรีที่ได้รับการฝึกอาชีพ ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรปลอดภัย (ทำข้าวไรซ์เบอรี่ ปลูกผักปลอดสารพิษ) ที่มีความเข้มแข็งด้านการรวมกลุ่มสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และมีภาวะความเป็นผู้นำชุมชน
นายเลิศปัญญา กล่าวว่า เลือกลงพื้นที่ชุมชนนี้เพราะเป็นชุมชนหนึ่งที่มีสตรีสมรสกับชาวต่างชาติค่อนข้างมาก ซึ่งชีวิตไม่ได้สวยหรูทุกคนเสมอไป ผู้หญิงหลายคนถูกฝ่ายชายใช้การแต่งงานบังหน้า เพื่อให้ง่ายต่อการหลอกพาหญิงไทยเข้าประเทศและบังคับค้าประเวณีในต่างแดน จึงถือเป็นโอกาสดี ที่ สค. ซึ่งรับผิดชอบดูแลในเรื่องการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรีทุกกลุ่ม ได้เข้ามาสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยง
"การอยู่ในต่างแดนหากประสบปัญหาและตกทุกข์ได้ยาก อาจหาคนให้คำปรึกษาได้ยากลำบาก ถึงแม้ว่าชีวิตคู่ทุกคนมีสิทธิเลือกและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากเป็นไปได้ ไม่อยากให้หญิงไทยไปอยู่ที่ไหนที่ห่างไกลบ้านเกิดและครอบครัวของตนเอง แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าหญิงไทยหรือคนไทยจะไปพำนักอยู่ที่ไหน รัฐบาลก็ไม่ทอดทิ้ง เบื้องต้น สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นหญิงไทยมาใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เข้าถึงข้อมูลได้สะดวก เข้าใจถึงสถานการณ์ เป็นที่พึ่งพาเมื่อต้องการความช่วยเหลือ และให้ความรู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่ใกล้บ้านเอาไว้ก่อน Download ได้ โดยพิมพ์คำว่า Yingthai ได้ทั้ง 2 ระบบ คือ ระบบ iOS ผ่าน App Store และระบบ Android ผ่าน Play Storeครับ" อธิบดีฯสค.กล่าวอย่างห่วงใย
พร้อมระบุว่า สค. อยากจะขอความร่วมมือชุมชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายภาคประชาชนที่คอยเฝ้าระวัง ป้องกันภัย และแก้ไขปัญหาด้านครอบครัวในชุมชนด้วยกัน โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หากพบเห็น ขออย่านิ่งเฉย ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ปัญหาก็จะลดน้อยลง และหมดไปจากสังคมได้ในที่สุด หากไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือด้วยตัวเอง เพราะเสี่ยงอันตราย แต่กลัวว่าถ้าเข้าไปช้าเกินไปก็จะไม่ทันการณ์ ก็ชวนกันเข้าไปหลาย ๆ คน เข้าไปพูดคุยหรือห้ามปรามก่อน เพราะปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีกฎหมายรองรับ คือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 อยู่แล้ว
“เราต้องทำให้เห็นว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นเรื่องที่สังคมต้องไม่ยอมรับ และไม่นิ่งเฉย ขอให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสังคมที่เข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนวพระราชดำริ ว่าด้วยการพัฒนา ครอบครัวมั่นคง ชุมชนเข้มแข็ง หากใครประสบปัญหาหรือพบเห็นใครประสบปัญหาไม่ว่าในหรือนอกประเทศ โทรสายด่วน 1300 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายเลิศปัญญา ย้ำอีกครั้ง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น