pearleus

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ชาวบ้านคำอาฮวน - ดงเย็น มุกดาหาร ยื่นศูนย์ดำรงธรรม ร้องเรียนจนท.สั่งย้ายจากออกจากที่ทำกิน


  

       วันที่ 3 ส.ค.63 เวลา 09.30 น. ที่บริเวณมุขด้านหน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร ที่ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร นายอุทิน จันทะโสม นายกเทศมนตรีตำบลดงเย็น นายสุพันธ์ เที่ยงโยธา รองนายกเทศมนตรีตำบลคำอาฮวน พร้อมชาวบ้านตำบลดงเย็น และตำบลคำอาฮวน อำเภอเมืองมุกดาหาร กว่า 100 คน  ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม ผ่านไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด โดยอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากการดำเนินงานของ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร 

      โดยมี นายเอกราช มณีกรรณ์ ปลัดจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยว่าที่ ร.ต.ล้ำ ปลูกเพชร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ด.ต.พร้อมพงศ์  มาพงษ์ หัวหน้ากลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมุกดาหาร นายวิโรจน์ สนธิกรณ์ ป้องกันจังหวัดมุกดาหาร  ได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ตำบลคำอาฮวน และตำบลดงเย็น อำเภอเมืองมุกดาหาร กว่า 100 คน ที่เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียน ต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมุกดาหาร 

      โดยหนังสือร้องเรียนดังกล่าวระบุว่า ด้วยประชาชนในเขตพื้นที่ ตำบลคำอาฮวน ตำบลดงเย็น อำเภอเมือง มุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ได้รับความเดือดร้อนจากการทำงานของ นายสุรเดช อัคราช ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร ที่พยายามทุกวิถีทาง ในการตรวจยึดพื้นที่ของราษฎรซึ่งครอบครองทำกินมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ราษฎรในพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำ สร้างความปั่นป่วน ไม่ตรงไปตรงมา ทำให้เกิดความเดือดร้อน คุกคามสิทธิของราษฎร ตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ไม่ดำเนินการตามกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 จึงเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้มีการตรวจสอบให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย และขอให้นายสุรดช อัคราช ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร ออกจากพื้นที่เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการตรวจสอบ

     ทางด้าน นายสุรเดช อัคราช ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร ได้มีหนังสือที่ มห.0014.3/1994 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร  ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่มีที่ประชาชนเดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนดังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561

      สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร ได้รับแจ้งจากราษฎรอาสาพิทักษ์ป่าว่ามีนายทุนทั้งในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารและนอกพื้นที่ได้ทำการบุกรุกถือครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯ ป่าดงบัง แปลงที่ 2 ท้องที่ตำบลคำอาฮวน และตำบลดงเย็น อำเภอเมืองมุกดาหาร โดยการซื้อที่ดินจากราษฎรในพื้นที่และได้ปลูกยางพาราและพืชเกษตรมาเป็นเวลากว่า 10 ปี

     จึงได้ลงพื้นที่ร่วมกับราษฎรอาสาพิทักษ์ป่า เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มห.4 (คำอาฮวน) เพื่อร่วมกันตรวจสอบพื้นที่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีการบุกรุก 12 แปลง เนื้อที่ประมาณ 3,700 ไร่ และมีการบุกรุกพื้นที่ป่าตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ท้องที่อำเภอเมืองมุกดาหาร จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ ประมาณ 32-3-92 ไร่ เพื่อสร้างสถานที่ท่องเที่ยวโดยมีการจัดเก็บค่าบริการกับนักท่องเที่ยวที่เข้าชมภายในพื้นที่ ซึ่งเป็นการนำพื้นที่ป่าตามมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งเป็นการนำทรัพย์สมบัติของชาติสร้างรายได้ให้กับตนเอง

     และเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ได้เข้าร่วมประชุม คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดมุกดาหาร โดยมีนายสันธาน สร้อยสำโรง รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธาน พร้อมด้วย พลตรี วิชัย มารศรี ผู้อำนวยการศูนย์ประสานความมั่นคง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้เข้าร่วมประชุม นำมาสู่การจัดทำแผนยุทธการพิทักษ์ไพร ซึ่งจะมีการเปิดยุทธการดังกล่าวในเร็วๆนี้

     เพื่อจะดำเนินการพิสูจน์ ตรวจยึดในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแปลงที่ 2 ที่ถูกนายทุนบุกรุก โดยมีเป้าหมายพื้นที่ดำเนินการ เป็นพื้นที่ของนายทุนชัดเจน หากตรวจสอบแล้วว่าเป็นพื้นที่ของราษฎร จะนำเข้าสู่กระบวนการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ นั่นคือการดำเนินการตามแผนยุทธการพิทักษ์ไพร ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการครอบครองที่ดินทำกินของราษฎรที่ได้ครอบครองทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าดงบังอี่) แปลงที่ 2 แต่อย่างใด อีกทั้งการดำเนินการตามแผนยุทธการพิทักษ์ไพร มิได้เป็นการดำเนินการของ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการดำเนินการร่วมกันทั้ง 4 ฝ่าย ประกอบด้วย ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และป่าไม้

   อย่างไรก็ตาม ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมุกดาหาร จะได้เร่งดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริง และให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ต่อไป

 อภิชาติ สายชมภู/รายงาน





0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น