จากกรณีที่นายณพ
ณรงค์เดช รองประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี จำกัด
แถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2563 ที่ผ่านมาถึงประเด็นข้อพิพาทเรื่องการซื้อขายหุ้นกับนายนพพร ศุภพิพัฒน์
ผู้ก่อตั้งบริษัทและเจ้าของหุ้นเดิม โดยอ้างว่าได้ชำระค่าหุ้นแก่เจ้าของเดิมครบถ้วนแล้ว
และคดีความต่าง ๆ
ที่มีการฟ้องร้องกันไปมานั้นปัจจุบันหลายคดีสิ้นสุดแล้วและนายณพเป็นฝ่ายชนะทั้งหมด
21 สิงหาคม 2563 นายนพพรได้ออกมาโต้ประเด็นดังกล่าวอย่างทันควัน
โดยระบุว่าในส่วนเรื่องการชำระค่าหุ้นนั้น จากมูลค่าซื้อขายที่ตกลงกันไว้ที่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท)
นายณพโดยบริษัท เคพีเอ็น อีเอ็ช จำกัด ได้ชำระก้อนแรกจำนวน 90.51 ล้านเหรียญเมื่อ ธ.ค.2558 และก้อนที่ 2 นายณพโดยบริษัท ฟุลเลอร์ตัน เบย์ อินเวสเมนท์ส จำกัด จำนวน 85 ล้านเหรียญ เมื่อ มิ.ย. 2562
ทั้งที่กำหนดชำระจริงคือ ตุลาคม 2558 จึงมีดอกเบี้ย
ส่วนยอดคงค้างที่เหลือเมื่อรวมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่ศาลสั่งให้นายณพชำระเนื่องจากแพ้คดีความจะสูงถึง
ประมาณ 680 ล้านเหรียญ
“จากค่าใช้จ่ายส่วนที่ศาลบังคับแสดงถึงว่านายณพเป็นฝ่ายแพ้คดี
มิใช่เป็นฝ่ายชนะคดีทั้งหมดดังที่กล่าวอ้าง” นายนพพรกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า
เมื่อนายณพยังค้างชำระหนี้จำนวนมากเช่นนี้ จะบังคับให้ชำระค่าหุ้นได้อย่างไร
ผู้ก่อตั้งบริษัทวินด์กล่าวว่า
นายณพได้ใช้เทคนิคในการถ่ายเทหุ้นจากประเทศไทยไปยังเกาะฮ่องกง
โดยมีการถ่ายเทไปหลายทอดซึ่งปรากฏชื่อนายเกษม ณรงค์เดช ซึ่งเป็นบิดาของนายณพ
เป็นผู้รับหุ้นและโอนต่อไปยังบริษัทโกลเด้น มิวสิค จำกัด ซึ่งมีชื่อ คุณหญิงกอแก้ว
บุณยจินดา แม่ยายของนายณพเป็นเจ้าของ
ต่อมานายเกษมเป็นผู้ฟ้องร้องกล่าวหานายณพว่าปลอมลายเซ็นในการรับและโอนหุ้นดังกล่าว
ทำให้ตนต้องขออำนาจศาลฮ่องกงมีคำสั่งห้ามจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นของบริษัทโกลเด้นฯ
เพื่อป้องกันการโอนหุ้นหนี ซึ่งก็ได้รับความกรุณาจากศาลฮ่องกง
“ที่นายณพบอกว่าคดีที่ฮ่องกงนั้นศาลยกหมดแล้วจึงไม่จริงเพราะผมไม่ได้ฟ้องคดีอะไรที่นั่นเลย
แต่ไปฟ้องคดีที่ประเทศอังกฤษเพราะฮ่องกงใช้กฎหมายของอังกฤษ โดยฟ้องในข้อหา conspiracy
หรือร่วมกันฉ้อโกงเจ้าหนี้ ซึ่งศาลน่าจะตัดสินช่วงปลายปีหน้า
และผมมั่นใจว่าจากหลักฐานที่มีผมชนะแน่นอน
ซึ่งระหว่างนี้ศาลกรุณาสั่งห้ามโอนหุ้นขของบริษัทโกลเด้นฯ ในฮ่องกงไว้แล้ว”
นายนพพรระบุ
นายนพพรระบุว่าหากตนชนะคดี
ศาลก็จะบังคับให้บริษัทโกลเด้น ฯ ขายหุ้นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่ตนตามกฎหมาย ต่อข้อถามว่ามีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายวีระวงศ์
จิตต์มิตรภาพ ทนายของนายณพ และธนาคารไทยพาณิชย์ที่ศาลประเทศอังกฤษจริงหรือไม่
นายนพพรกล่าวว่า
ฟ้องจริงเนื่องจากนายวีระวงศ์เป็นที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวของนายณพช่วงระยะเวลาในการโอนหุ้น
ขณะเดียวกันก็ยังเป็นกรรมการอิสระของธนาคารไทยพาณิชย์อีกด้วย
เมื่อนายณพใช้เทคนิคโอนหุ้นไปยังนายเกษมซึ่งทางธนาคารฯ
ในฐานะเจ้าหนี้กำหนดเงื่อนไขให้ที่ปรึกษากฎหมายต้องออกความเห็น (Legal Opinion) ว่า หุ้นดังกล่าวสามารถโอนได้
และรับรองว่าการโอนหุ้นนั้นโอนได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ธนาคารไทยพาณิชย์จึงกำหนดว่า
คนออกความเห็นนั้นคือ WCP ซึ่งเข้าทางณพ เพราะ WCP นั้นมีนายวีระวงศ์ เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้น “แบบนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า
“ชงเองกินเอง” นายนพพรระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากนายณพมาขอเจรจาเพื่อให้ยุติข้อพิพาทต่าง
ๆ จะยินดีเจรจาหรือไม่ นายนพพรยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเจรจา
เพียงแค่นายณพปฏิบัติตามคำสั่งของอนุญาโตตุลาการและศาลคือการชำระหนี้ทุกอย่างก็จบ
ต่อข้อซักถามถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของวินด์ฯ
ผู้ก่อตั้งบริษัทกล่าวว่า ขอให้เป็นดุลยพินิจของตลาดหลักทรัพย์และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
แต่เมื่อผู้บริหารมีพฤติกรรมขาดธรรมาภิบาลเช่นนี้
ผู้มีอำนาจต้องพิจารณาว่าควรจะให้นายณพเข้าไปเป็นผู้บริหารบริษัทมหาชนหรือไม่
ทั้งนี้นายนพพรได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมของนายณพที่อาจจะไม่โปรงใสและขาดธรรมาภิบาลว่า
ที่ผ่านมามีการไซฟ่อนเงิน โดยนำเงินบริษัทมาใช้จ่ายเรื่องส่วนตัว
และนำภรรยาและพนักงานบริษัทภรรยามารับเงินเดือนจากวินด์โดยที่ไม่ได้ทำงานให้วินด์
รวมไปถึงการนำเงินของวินด์จำนวน 300 ล้านบาทมาชำระหนี้ค่าหุ้นแก่ตนในนามของตัวนายณพฯเอง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น