pearleus

วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

เรืองฤทธิ์ อุบลไทร สุดยอดนักพัฒนาแห่ง ต.ท่าทราย พลิกชีวิตจากฝุ่นมาเป็นดิน จากดินมาเป็นบัณฑิต

เวทีนักสู้
เรืองฤทธิ์ อุบลไทร สุดยอดนักพัฒนาแห่ง ต.ท่าทราย
พลิกชีวิตจากฝุ่นมาเป็นดิน จากดินมาเป็นบัณฑิต
            เมื่อเอ่ยถึงต.ท่าทราย สมุทรสาครแล้ว หลายคนคงคุ้นเคยกันดีในฐานะที่เป็น ตำบลดังแห่งหนึ่งของจ.สมุทรสาคร ที่มีเรื่องราวสารพัดให้กล่าวขาน ทั้งในแง่มุมทางการเมืองและการขยายตัวพื้นที่ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
            ต.ท่าทราย ในปัจจุบันถูกปกครองในรูปแบบ องค์การบริหารส่วนตำบล มีนายก อบต.เป็นผู้บริหารสลับสับเปลี่ยนตามที่ประชาชนจะเห็นดีเห็นงามว่า ยุคนั้นสมัยไหน ใครสมควรเข้ามาเป็นผู้ดูแลพื้นที่
            เรืองฤทธิ์ อุบลไทร  ถือเป็นอีกหนึ่ง (อดีต) นายกอบต ต.ท่าทราย ที่มีชื่อชั้นอยู่พอตัวกับการยอมรับของประชาชนในพื้นที่  เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่สร้างสีสันและมีบทบาทอย่างมากบนถนนการเมืองระดับท้องถิ่นในตำบลแห่งนี้
            หลายคนรู้จักเรืองฤทธิ์ อุบลไทร  เป็นอย่างดี บางคนแค่สัมผัสชื่อเสียงพอห่าง ๆ ในขณะที่คนรุ่นใหม่บางกลุ่ม คงยังมึน ๆ งง ๆ พร้อมกับคำถามว่า ใครคือ เรืองฤทธิ์ ?
            เวทีนักสู้ ฉบับนี้ ขอนำเหล้าเก่า (แต่รสชาติคับแก้ว) รายนี้มาบอกเล่าให้หายคิดถึงกันอีกรอบ ตามประสาคนดังแห่งท่าทราย ที่มีหลายกระแสเสียงเรียกร้องให้เขากลับมาบริหารพื้นที่อีกคำรบหนึ่ง
………………………………………………………………………………………………….
            “ผมเคยเป็นบ๋อยมาก่อนน่ะ ก่อนที่จะเข้าสู่การเมืองในต.ท่าทราย”
            เรืองฤทธิ์ อุบลไทร เปิดฉากการสนทนากับทีมงานเวทีนักสู่ แบบไม่อายใคร กับอดีตที่ต้องสู้ชีวิตในตำแหน่งที่ได้รับเกียรติ ให้ทำหน้าที่ บ๋อย ในขณะที่พี่ชายรับหน้าที่เป็น กุ๊ก ร้านข้าวต้มชื่อดังแห่งหนึ่งในสมุทรสาคร กว่า 20 ปี โดยได้รับเงินเดือน 150 บ. ขณะที่พี่ชายได้อยู่ประมาณ 700 – 800 บ.
เงินเดือนอันน้อยนิดซึ่งก็ไม่ค่อยพอกินกันเท่าไหร่ แต่เรืองฤทธิ์กับพี่ชายก็พยายามเก็บหอมรอมริบจากการประหยัดและอดออด จนเป็นเงินก้อน และขอลาออกพร้อม ๆ กับความเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านการทำร้านอาหารที่สั่งสมมา  ก่อนดึงพี่ ๆ น้อง ๆ ในบ้านมาช่วยกันทำร้านอาหารเป็นของตัวเอง ในชื่อ ร้านอาหารป่าคลองครุ ที่เน้นการขายอาหารป่าอย่างชัดเจน ในปี 2527
            ทำไม ? ไม่เปิดร้านข้าวต้ม  แต่กลับเป็นร้านอาหารป่า คนละเรื่องเลยทีเดียว
            “ทางครอบครัวผมมองว่า ร้านข้าวต้มก็เปิดกันเกร่อแล้ว น่าจะทำอะไรที่แตกต่างและคิดว่าน่าจะรุ่งกว่า จึงมาสรุปกันที่ร้านอาหารป่า เพราะแปลกใหม่มากสำหรับ จ.สมุทรสาคร ซึ่งสมัยก่อนวัตถุดิบหาไม่ยาก อีกอย่างกฎหมายก็ไม่ได้เคร่งครัดเหมือนปัจจุบัน”
            นับแต่นั้นมา ร้านอาหารป่าคลองครุ ก็ถือเป็นเมกกะความอร่อย สำหรับคนที่ชอบความท้าทายเรื่องการกิน กับสารพัดเมนูสัตว์ป่าที่รสชาติอร่อย เหมาะสำหรับคนที่ใจถึงที่ต้องการสัมผัสความแปลกใหม่ด้านการกิน นายเรืองฤทธิ์ ทำขายอาหารป่าขายอยู่ประมาณ 20 กว่าปี ก็ต้องค่อย ๆ เปลี่ยนเมนูเป็นอาหารพื้นบ้านและอาหารทะเลมากยิ่งขึ้น เนื่องจากติดข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสัตว์ป่า
            เมื่อถามถึงเส้นทางสู่ถนนการเมืองระดับท้องถิ่น ในต.ท่าทราย นายเรืองฤทธิ์ ย้อนอดีตเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปว่า เกิดจากมีพรรคพวกที่รักชอบพอนิสัยกัน เห็นทรงว่าน่าจะเข้ามาทำงานพัฒนาบ้านเมืองได้ เนื่องจากมีต้นทุนที่พร้อมอยู่แล้ว เป็นคนที่เกิดที่นี่ รู้จักคนมาก เป็นที่รักของเพื่อนฝูง รวมทั้งความรู้ความสามารถและรู้จักปัญหาของพื้นที่เป็นอย่างดี
            “เมื่อประมาณปี 2538  ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าเกษียณ ก็มีคนมาชวนผมให้ลงสมัคร เพราะเห็นหน่วยก้านพอได้  เค้าบอกว่าตำบลท่าทรายยังไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ จึงอยากให้เราเข้ามาช่วยกันพัฒนาบ้านเกิด เลยตัดสินใจลงสมัคร สมัยแรกก็ได้เลย”
            แน่นอนว่าการทำธุรกิจร้านอาหารกับการทำงานพัฒนาบ้านเมือง เป็นคนละเรื่อง มีเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ร้านอาหารมุ่งที่รายได้กำไร หากแต่การทำงานเพื่อบ้านเมืองมุ่งที่ประโยชน์สุขของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ สมัยแรกกับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของนายเรืองฤทธิ์ จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับตัว เรียนรู้ และอยู่ให้ได้กับเงื่อนไขต่าง ๆที่จำกัด 
            “ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านที่อายุน้อย แค่ 30 ต้น ๆ เอง พอเข้ามาต้องถือว่าหนักมาก  เพราะเราต้องเรียนรู้ใหม่หมด เข้ามา  2 เดือนแรก ผมต้องไปเข้าเรียนที่วิทยาลัยการปกครอง ที่ปทุมธานี ซึ่งเขาจะสอนบทบาทหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านทั้งหมด  โดยเฉพาะการไกล่เกลี่ยปัญหาชาวบ้าน การบำบัดทุกข์บำรุงสุข รวมทั้งเป็นผู้ช่วยนายอำเภอด้วย”
            หลังการอบรม นายเรืองฤทธิ์ ก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้รับ นำกลับมาพัฒนาบ้านเกิดอย่างเต็มกำลัง ซึ่งผลตอบรับก็คือ ความพอใจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ล้วนแล้วแต่พึงพอใจในการดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้อย่างใกล้ชิดและเป็นกันเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
            จากความมุ่งมั่นและหมั่นเข้าหาประชาชน ดูแลทั้งทุกข์และสุขให้กับชาวบ้านส่งผลให้นายเรืองฤทธิ์ สามารถครองเก้าอี้ผู้ใหญ่บ้านในต.ท่าทรายได้ถึง  3 สมัย เป็นช่วงเวลาทั้งหมด 15 ปี ซึ่งถือว่ามีพรรษาที่แข็งแกร่งพอตัวที่จะสามารถไต่ระดับขึ้นมาเล่นการเมืองในเวทีที่ใหญ่กว่า ในตำแหน่ง นายกอบต.ท่าทราย
            “ก็พรรคพวกอีกนั้นแหละที่มาบอกว่า ถึงเวลาที่ต้องขึ้นมาระดับสูงกว่านี้แล้ว จากการทำงานระดับปกครอง มาเป็นผู้บริหารบ้าง ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ลงสมัครครั้งแรกก็ได้รับเลือกตั้งเลยเป็นนายกอบต.ท่าทรายเลย ในปี 2550
            เมื่อได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ท่าทราย สิ่งที่ต้องรับเป็นภารกิจหลักก็คือ การดูแลเรื่องงบประมาณในการบริหารพื้นที่ หากแต่สิ่งที่ยากที่สุด คือการบริหารฝ่ายปกครองและสมาชิกอบต. ซึ่งอยู่คนละทีมกัน ให้ทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่จากประสบการณ์และความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ก็ส่งผลให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น
            นายเรืองฤทธิ์ ได้เข้าทำงานในตำแหน่งนายก อบต.ท่าทราย ถึง 2 ครั้ง  ก่อนที่จะถูกเว้นวรรคทางการเมือง ซึ่งในระหว่างนี้ก็ใช้เวลาที่ว่าง พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จนจบปริญญาโท ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ   วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม และระหว่างเรียนก็ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนผู้ใหญ่บ้านให้ดำรงตำแหน่งกำนันในเวลาต่อมา แต่ก็ขอลาออกในหลังจากดำรงตำแหน่งมาได้ระยะหนึ่ง
            ในช่วงท้ายของการสนทนา นายเรืองฤทธิ์ หรือ ท่านนายกที่หลายคนเรียกจนติดปาก (แม้จะไม่มีตำแหน่งนายก อบต.ท่าทรายก็ตาม)  บอกกล่าวกับเราว่า ท่าทรายในปัจจุบันต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หลายเรื่องยังไม่ได้เดินหน้าไปเท่าที่ควร  ซึ่งถ้าตนเองได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งก็จะเข้ามาสะสางชนิดที่ว่า ใครไม่ทำเราทำนายเรืองฤทธิ์ว่าอย่างนั้น พร้อมกับเน้นย้ำกับทีมงานเวทีนักสู่ ด้วยประโยคที่ขอยกมาทั้งหมดว่า
            “ผมเชื่อมั่น และตั้งใจกับการกลับมาอีกครั้ง  ความรู้ ความสามารถที่ตั้งใจร่ำเรียนมา จะนำมาพัฒนาต.ท่าทรายของพวกเราให้มีความเป็นอยู่ดีกินดี และยั่งยืน ผมให้คำมั่นสัญญาครับ”
………………………………………………………..

ล้อมกรอบ (ทำพื้นหลังเป็นสีอ่อน ๆ ก็ได้ครับ)
            ในฐานะผู้ที่คลุกคลีกับพื้นที่ท่าทรายมาตั้งแต่กำเนิด เป็นตั้งแต่ลูกบ้าน จนถึงตำแหน่งสูงสุดอย่างนายกอบต. สิ่งต่าง ๆ ยอมอยู่ในสายตา ไม่ว่าจะเป็นการเจริญเติบโตด้านต่าง ๆ  ตลอดจนถึงปัญหาหมักหมมที่อยู่ในพื้นที่ และยังคงรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ตรงจุดนี้ นายเรืองฤทธิ์  เล่าให้เราฟังถึงปัญหาใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในท่าทรายปัจจุบันที่รอการแก้ไข โดยแบ่งเป็นเรื่อง ๆ คือ
1 . เรื่องปริมาณและการบริหารจัดการขยะที่มีปริมาณมากขึ้นทุกวันจากประชากรแฝงโดยเฉพาะชาวต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยทำมาหากินอยู่ในพื้นที่หลักแสน รวมถึงขยะที่เกิดขึ้นจากโรงงานในพื้นที่ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงบรรดาหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ผลิตขยะขึ้นมาต่อวันมากขึ้นเรื่อย ๆ  ปัญหาเหล่านี้นายเรืองฤทธิ์ บอกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ต้องรีบเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  โดยต้องมีการทำ MOU กันในระดับจังหวัด เทศบาล อบต.ต่าง ๆ ที่มีปริมาณขยะมาก ต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ ถ้าไม่ทำเชื่อว่าไม่กี่ปีข้างหน้าปริมาณขยะจะล้นเมืองสมุทรสาครอย่างแน่นอน
2. เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ไฟฟ้าและแสงสว่างตามเส้นทางต่าง ๆ ต้องเพียงพอ รวมถึงกล้องวงจรปิดที่ต้องมีอยู่ทั่วบริเวณพื้นที่ต.ท่าทราย เพื่อคอยสอดส่องระวังภัยต่าง ๆ  แทนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอยู่น้อย  ต้องมีการเพิ่มกล้องวงจรปิดเข้าไปเสริมอีก รวมถึงการซ่อมบำรุงกล้องเก่าให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เรื่องคุณภาพการศึกษา ก็ถือเป็นอีกเรื่องสำคัญที่หลายคนมองข้ามไป  นายเรืองฤทธิ์ เล่าให้ฟังว่า จากที่เคยทำงานในอดีตที่ผ่านมา ทางอบต.ท่าทราย ได้รับความอนุเคราะห์จากอบจ.สมุทรสาคร ในการนำงบประมาณมาก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ หากแต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาในปัจจุบันก็คือ การขาดแคลนครู ไม่เพียงสมดุลกับปริมาณเด็กนักเรียนที่มีมากขึ้นทุกปี ต้องหาครูอัตราจ้างมาเสริมตรงจุดนี้ ซึ่งอบต.ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้  เด็กในพื้นที่ท่าทรายจะได้ไม่ต้องเดินทางเข้าไปเรียนในตัวเมืองมหาชัย ถือเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาให้กับผู้ปกครองด้วยอีกทางหนึ่ง
…………………………………………………….
           















  
           

           





  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น