นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางปี 2556
ตนได้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในนามบริษัท บิลเลี่ยนอินโนเวเท็ต
กรุ๊ป จำกัด ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี รวม 1,200 ไร่ ด้วยงบประมาณ
6,500 ล้านบาท ต่อมาทาง สกสค.ได้ขอเข้าร่วมดำเนินการในโครงการนี้ โดยนำงบประมาณ
2,100 ล้านบาท มาร่วมลงทุน แต่ภายหลังได้มีอดีตผู้บริหาร สกสค.(นายประยุทธ
รัศมีแพรวพราว) ได้แจ้งความพนักงานสอบสวน บก.ป.และ บก.ปปป.กล่าวหาว่าตนกระทำการซึ่งเข้าข่ายสนับสนุนข้าราชการโดยไม่ชอบ
และมีการกู้ยืมเงินกองทุน สกสค.ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งไม่เป็นความจริง
แต่เป็นกรณีที่ทาง สกสค.นำเงินมาร่วมลงทุนเอง
นายสัมฤทธิ์ กล่าวต่อว่า
ทางอดีตผู้บริหาร สกสค.รายนี้ ได้ติดต่อขอนัดพบตนเมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา
ที่ ค่ายลูกเสือแห่งหนึ่งใน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี จึงตัดสินใจเดินทางไป
แต่ทันทีที่ไปถึงก็พบชายฉกรรจ์ 9 คน โดย 4 คนในนั้น มีอาวุธปืน
ก่อนที่อดีตผู้บริหาร สกสค.คนดังกล่าว จะพูดข่มขู่ให้ตนถอดเสื้อผ้าออก
และให้เดินไปคุยกับชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ที่บ้านพักในค่ายลูกเสือแห่งนี้
นายสัมฤทธิ์ กล่าวอีกว่า
ทางฝ่ายอดีตผู้บริหาร สกสค.มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ประกอบด้วย
1.ขอให้ตนล้มล้างบอร์ดบริหารของ สกสค
2.หากล้างบอร์ดชุดปัจจุบันได้แล้ว ก็ให้ทางอดีตบอร์ดคนดังกล่าวและทีมงาน
เข้ามาดำเนินการแทนเพื่อแลกกับการสนับสนุนเงินของกองทุน
ซึ่งมีมากกว่าหลายพันล้านบาท และขอให้จ่ายเงินค่าคอมมิชชั่น 30% และ 3.ให้นำเงิน
177 ล้านบาท มาให้ โดยงวดแรกให้จ่ายเงินจำนวน 77 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กองเท่าๆ กัน
มาให้ อย่างไรก็ดี ในระหว่างเจรจาตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยจึงรับปากไปก่อน
แต่หลังจากกลับ กทม.แล้ว อดีตผู้บริหาร สกสค.รายนี้ ได้โทรศัพท์มาเรียกเงิน 77
ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินงวดแรก แต่ตนปฏิเสธที่จะมอบให้
นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า
เมื่อบอกปฏิเสธไป จึงถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายและไม่รับรองความปลอดภัยในชีวิต นอกจากนี้ยังขู่ว่าจะนำระเบิดไปวางหน้าบ้านพักและที่ทำงานของตน
ทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนต้องเข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตนรู้สึกไม่ปลอดภัย
และมีผลกระทบต่อการทำธุรกิจที่ตนบริหารอยู่
โดยก่อนหน้านี้ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สน.วังทองหลาง
“ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้อง การมาเรียกเงินตรงนี้แล้วมาแบล็คเมล นั้น
ไม่ถูกต้อง ฝ่ายเขาทั้งแจ้งความดำเนินคดี ใส่ร้าย และมีการพูดจาข่มขู่คุกคาม
ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาต้องทำขนาดนี้ เพียงเพราะต้องการเงินจากผม
และเชื่อว่าหากให้เงินไปในครั้งแรกก็จะมีครั้งต่อไปอีกเรื่อยๆ” นายสัมฤทธิ์ กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า
ในเบื้องต้นได้รับเรื่องไว้ โดยมอบหมายให้ พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ร้อง
และตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ประกอบกับข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว
ก่อนจะพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยยืนยันว่าทางพนักงานสอบสวนจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนกรณีที่มีชายฉกรรจ์กักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขู่กรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย นั้น
คงต้องสืบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดี อย่างไรก็ดี
หากพบว่าเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลก็อาจมีการพิจารณานำกำลังตำรวจ บก.ป.เข้ากวาดล้างด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น