pearleus

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คำเตือนจาก “พระไพศาล วิสาโล ” ถ้าไม่ปฏิรูปวงการสงฆ์ ระวังถึงจุดเสื่อม

ช่วงนี้ข่าวของสมีเณรคำกำลังฮ๊อดสามารถกลบข่าวต่างๆได้ลงอย่างน่าทึ่งเอามากๆผมเองเป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอีกทั้งยังชอบเปิดเว็บดูข่าวต่างเผอิญ มาเจอคำเตือนของพระไพศาล วิสาโล ที่ให้สัมภาคน์กับสำนักข่าวอิสราว่าถ้าไม่ปฏิรูปวงการสงฆ์ ระวังถึงจุดเสื่อม จึงขอนำมาลงตีพิมพ์จะได้สกิดใจของผู้ที่หน้าที่รับผิดชอบเรื่องพุทธศาสนาของไทยเราบ้างสาเหตุมาจากปัญหาในวงการสงฆ์ปัจจุบันนั้นเอง พระไพศาล  ได้บอกว่า จากกรณีอื้อฉาว หลวงปู่เณรคำแฝงตัวในผ้าเหลืองหาประโยชน์จากเงินบริจาค เมื่อยิ่งสาวก็ยิ่งเละ จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมจับสึกและดำเนินคดีหลายกระทงและยังมีอีกหลายรูปที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ปรากฏเป็นข่าวต่อเนื่อง สร้างความเสื่อมศรัทธาไม่น้อย ปัญหาของวงการผ้าเหลืองขณะนี้ อาตมาคิดว่า พฤติกรรมของเณรคำไม่ได้พิเศษอะไร แต่ที่เด่นดังมีผู้คนนับถือมากมายส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการใช้สื่อต่างๆ ไปในทางที่ปั่นคุณวิเศษ ไม่ต่างจากการปั่นหุ้น มีการปั่นบารมีหรือคุณวิเศษของเณรคำขึ้นมาให้กลายเป็นพระอรหันต์ เรื่องนี้อาจเป็นเพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก เลยทำให้คนอย่างเณรคำกลายเป็นพระอรหันต์ได้ภายในช่วงเวลาไม่กี่ปีทั้งที่อายุก็ยังน้อย และทั้งที่มีพฤติกรรมน่าเคลือบแคลงมากมาย แต่ก็มีการปิดงำ ไม่ให้คนล่วงรู้ หรือที่ล่วงรู้ก็ปล่อยเลยตามเลย เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของคณะสงฆ์ในเชิงโครงสร้าง แต่ก่อนเรามักจะมองว่า นี่เป็นปัญหาตัวบุคคล แต่ที่ผ่านมามีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นเยอะมาก ถึงแม้ส่วนใหญ่จะไม่เด่นดังเท่าเณรคำ หรือไม่มีวิธีการที่อุกอาจอย่างเณรคำ ก็เลยไม่เป็นข่าวเท่าไร แต่เมื่อมันมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็ฟ้องอยู่ในตัวว่า นี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เฉพาะของคณะสงฆ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับฆราวาส คือ ฆราวาสก็ปล่อยปละละเลย ให้มีพระอลัชชีเกิดขึ้นมากมาย เห็นได้ชัดว่าบุคคลที่แวดล้อมได้ผลประโยชน์จากเณรคำ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เณรคำมีพฤติกรรมอย่างไร แม้กระทั่งชาวบ้านหลายคนก็รู้ ถึงแม้จะไม่มีผลประโยชน์ เช่น พอผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์เรื่องเณรคำ ชาวบ้านหลายคนก็บอกว่า รู้พฤติกรรมของเขามานานแล้ว แต่ไม่อยากพูดถึง ปัญหาเหล่านี้ ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆก็จะมีปัญหาตามมาอีก เพราะคณะสงฆ์ไม่ตื่นตัวที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันสื่อมวลชนก็อาจถูกใช้เพื่อสร้างกระแสให้เกิดมีพระอรหันต์หรือผู้วิเศษคนใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คน ตอนนี้ ศาสนากับบริโภคนิยมเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เป็นประโยชน์ในเชิงวัตถุ เช่น อยากร่ำรวย อยากมีโชคลาภ ก็เลยมีการปลุกกระแสเพื่อสร้างบารมีให้คนแห่แหนเข้ามากราบไหว้และทำบุญกับตัวเองมากขึ้น เพราะอยากได้ผลประโยชน์ อยากร่ำรวย มีโชคลาภ อันที่จริงความต้องการแบบนี้เป็นธรรมดาของมนุษย์ เพียงแต่ปัจจุบันมีมากขึ้น เพราะว่า ระบบบริโภคนิยมเข้าไปมีอิทธิพลต่อผู้คนมาก อีกทั้งศาสนาก็ไปส่งเสริมกิเลสส่วนนี้ด้วย ตอนนี้บุญกลายเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดตลาดบุญ ซึ่งเป็นตลาดที่มีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก ไม่ต่างจาก ตลาดหุ้น หรือ ตลาดสินค้าชนิดอื่นๆ ที่มีทั้งการปั่นราคา มีการโฆษณาชวนเชื่อ มีการเก็งกำไร เป็นตลาดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความโลภ นี่เป็นปรากฏการณ์อย่างใหม่ในยุคนี้ที่แตกต่างจากสมัยก่อนสมัยก่อน ไม่มีตลาดบุญ บุญไม่ใช่สินค้าที่มาเสนอขายหรือโฆษณาอย่างเอิกเกริกให้คนซื้อ เพื่อหวังความร่ำรวย ความมั่งมี แต่เดี๋ยวนี้บุญกลายเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง มีการโฆษณาว่า ถ้าคุณทำบุญกับฉัน คุณจะร่ำรวย วัดพระธรรมกายประสบความสำเร็จมากที่ทำให้บุญกลายเป็นสินค้า คือยิ่งบุญราคาแพงมากเท่าไร ก็เชื่อว่าจะมีอานิสงส์มากเท่านั้น เหมือนสินค้า จะเป็นของดีก็ต้องราคาแพง เช่น หลุยส์วิตตอง ราคาเป็นหมื่นเป็นแสน ใครซื้อก็ภูมิใจว่า ได้ของดีมีคุณภาพ ถ้าเป็นของราคาถูก ก็รู้สึกว่าไม่มีคุณภาพ ยกตัวอย่างลักษณะของพระอย่างสมีเณรคำมีอีกเยอะไหมในวงการสงฆ์ มีมาตลอดโดยเฉพาะช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา มีพระมากมายที่ทำตัวเป็นผู้วิเศษและมีความร่ำรวยจากการเร่ขายบุญในลักษณะต่างๆ มีการสร้างบุญตัวใหม่ๆ หรือ gimmick ใหม่ขึ้นมา เช่น จตุคามรามเทพ พระพิฆเนศ พระราหู ชูชก นี่คือการเสนอสินค้าตัวใหม่ๆ เพื่อให้คนมาบริโภค เป็นการซื้อความหวังว่า ถ้าคุณทำบุญกับฉันแล้ว คุณจะรวย แคล้วคลาดจากอันตราย มีการอ้างตัวเป็นผู้วิเศษหรือมีคุณวิเศษ อันนี้เป็นช่องทางให้ร่ำรวยได้ง่าย สิ่งที่ตามมา ก็คืออิทธิพลในทางโลก เช่น มีเส้นสายกับ ตำรวจ ทหาร มีเส้นสายกับพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ ทำให้ได้รับการปกป้อง หรือได้รับการเลื่อนสมณะศักดิ์ แล้วก็สามารถใช้อิทธิพลเหล่านั้นขยายผลประโยชน์ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้ยินข่าวทำนองนี้อยู่เรื่อย ๆ แต่ว่าเป็นข่าวแค่ 1-2 วันแล้วก็หายไป มันจึงสะท้อนให้เห็นถึง ความผิดพลาด ความบกพร่องในวงการศาสนาและวงการสงฆ์ของไทย จึงทำให้สมีเณรคำถลำตัวทำสิ่งผิดพลาดมากมายขนาดนี้ ถ้ามีการสกัดกั้นตั้งแต่ 6-7 ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากไม่มีใครสกัดหรือขัดขวางเขา ปล่อยให้สร้างเส้นสายทั้งในวงการสงฆ์ และวงการตำรวจ ทหาร ทำให้ เณรคำเกิดความเหิมเกริม ชะล่าใจ ทำสิ่งที่อุกอาจ เพราะไม่มีใครค้าน ไม่มีใครทักท้วงตักเตือน มีแต่คนไปอวยด้วย ก็เลยทำสิ่งที่อุกอาจมากขึ้น แต่ถึงขั้นปาราชิก และผิดกฎหมายบ้านเมือง อันนี่ไม่ใช่ปัญหาของคณะสงฆ์ แต่เป็นปัญหาของชาวพุทธไทยด้วย แต่ถ้าเราจะพูดถึงปัญหาโครงสร้างของสงฆ์ไทยเวลานี้ มีสองเรื่องใหญ่ๆ คือ ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ และ ปัญหาการศึกษาคณะสงฆ์....ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ เช่น มีการรวมศูนย์เข้าสู่ส่วนกลางมาไว้ที่ มหาเถรสมาคม ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับรัฐ ที่ใกล้ชิดเกินไป การไม่มีระบบกลั่นกรองและกล่อมเกลา ใครจะเข้ามาบวชก็บวชได้ อันนี้ที่จริงยังไม่เป็นปัญหามากเท่าไร ถ้าวัดมีการกล่อมเกลาที่ดี ก็ไม่เกิดปัญหามาก ข้อนี้โยงมาถึงปัญหาการศึกษาของคณะสงฆ์ที่อ่อนแอมาก พระไม่มีความรู้ในทางธรรม และไม่มีแรงจูงใจที่จะศึกษาธรรม ตอนนี้การศึกษาของคณะสงฆ์เรียกได้ว่าล้มเหลว ไม่ว่าระบบนักธรรมหรือบาลี การทุจริตในการสอบมีเยอะมาก เพราะพระเณรไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียน คือไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม ฉะนั้น ผลสอบจึงตกกันเยอะมาก นี่เป็นปัญหาที่มีมานานและไม่มีการพูดถึงกันเลย ความรู้ในทางธรรมะก็ไม่ค่อยมี ไม่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิตภาวนา ฝึกกรรมฐาน พระสมัยก่อน ไม่ว่าบวชระยะสั้นหรือระยะยาว ก็ต้องได้ฝึกจิตภาวนา อย่างน้อยก็มีการฝึกเรื่องวินัยและการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ถ้ามีการฝึกจิตภาวนา จิตจะมีภูมิคุ้มกันต่อกามราคะหรือ สิ่งยั่วยุทางกามซึ่งปัจจุบันมีมาก เพราะยุคนี้เป็นยุคบริโภคนิยม สิ่งยั่วยวนแพร่เข้าไปถึงกุฎิ เพราะเดี๋ยวนี้พระมีโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เนต โทรทัศน์ ดีวีดี ดังนั้น ถ้าพระไม่ฝึกจิตภาวนา จิตใจก็จะถูกกามราคะครอบงำได้ง่าย แล้วอาจลืมตัวจนกระทั่งขาดจากความเป็นพระไป นี่เป็นประเด็นใหญ่ๆ สองประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาคณะสงฆ์ คือโครงสร้างการปกครองที่รวมศูนย์และอิงรัฐมาก อีกทั้งย่อหย่อนในเรื่องการศึกษา ทำให้คณะสงฆ์อ่อนแอมาก ต่อมาพระก็สนใจเรื่องการวิ่งเต้นต่อเส้นสายกับผู้ปกครองคณะสงฆ์เพื่อการเลื่อนสมณศักดิ์ และไม่ค่อยสนใจปัญหาชาวบ้าน ยิ่งรูปไหนมีเส้นสายที่ดี ได้รับการปกป้องจากเจ้าคณะ ก็สามารถทำอะไรก็ได้ เปิดช่องให้พระที่ทำตัวผิดวินัย หรือไม่คำนึงถึง โลกวัชชะ มีเพิ่มขึ้น...อาตมาว่าน่าจะกระจาย อำนาจออกจากมหาเถรสมาคม เป็นเรื่องเร่งด่วน โดยต้องกระจายให้พระสงฆ์ในพื้นที่ดูแลกิจการคณะสงฆ์ของเขาเอง คือตอนนี้การปกครองของคณะสงฆ์ใช้วิธีการเดียวกับการปกครอง ในสมัย ร.5 คือ รวมศูนย์แบบมณฑลเทศาภิบาล กล่าวคือ ส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ไปปกครองตามมณฑลต่างๆ ซึ่งปัจจุบันก็เปลี่ยนเป็นการส่งผู้ว่าราชการจังหวัดจากส่วนกลางไป แต่ของคณะสงฆ์ยังล้าหลังกว่านั้น คือแทบจะไม่ต่างจากสมัยรัชกาลที่ 5 คือเจ้าคณะภาคอยู่ในกรุงเทพ ฯ มีอำนาจเหนือเจ้าคณะจังหวัด ความจริงควรมีการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น รวมทั้งมีการจัดตั้งสภาสงฆ์ระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล ทำงานร่วมกับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ซึ่งก็ควรมีการทำงานในรูปกรรมการมากกว่าที่ทำแบบรวมศูนย์ที่ตัวบุคคล ขณะเดียวกันก็ควรให้ฆราวาสเข้ามามีส่วนร่วมดูแลความเป็นไปของคณะสงฆ์ในทุกระดับ เช่น มีสภาชาวพุทธในระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ ไปจนถึงระดับตำบล เพื่อดูแลเอาใจใส่เรื่องต่างๆ ของพระ เช่น การประพฤติปฏิบัติของพระ การศึกษา ความเป็นอยู่ วิธีนี้จะช่วยให้ท้องถิ่นตื่นตัวเรื่องการความเป็นไปของคณะสงฆ์ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐหรือสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติเท่านั้นอีกทั้งยังมีจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีการกระจายอำนาจจากมหาเถรสมาคมออกไป ไม่ใช่มารวมศูนย์อยู่ที่พระ 20-30 รูป ซึ่งแต่ละรูปก็อายุ 70 ปีขึ้นไป ท่านเหล่านี้แทบไม่มีกำลัง ทำอะไรแล้ว นอกจากไปแสดงธรรม หรือเปิดป้าย ถ้าถามอาตมาว่าใครต้องเป็นผู้ปฏิรูป สมัยก่อนนั้น ผู้ปฏิรูปที่สำคัญ คือพระมหากษัติรย์ นั่นเป็นสมัยราชาธิปไตยหรือยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ยุคปัจจุบันหน้าที่นี้ควรเป็นของรัฐบาล แต่เราก็หวังไม่ได้ เพราะรัฐบาลก็อาจทำเพื่อผลทางการเมืองของตนมากกว่าเพื่อประโยชน์ของพระศาสนา ดังนั้นการปฏิรูปควรมาจากคณะสงฆ์ แต่คณะสงฆ์อ่อนแอ อีกทั้งผู้นำก็ยังได้รับประโยชน์จากโครงสร้างที่เป็นอยู่แล้วเขาจะปฏิรูปทำไม ยังไม่ต้องพูดถึงความขัดแย้งในวงการสงฆ์เองเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีความพยายามปฏิรูปมหาเถรสมาคมแต่ก็ถูกต่อต้านจากพระสงฆ์ด้วยกัน จนกระทั่งรัฐบาลต้องเอาแผนปฏิรูป หรือ ร่าง พรบ.สงฆ์ฉบับแก้ไข เก็บใส่ลิ้นชักไป ตอนนี้ก็มีคนเรียกร้องให้ยกเลิก พรบ.สงฆ์ ฉบับปัจจุบัน ก็เป็นประเด็นที่น่าถกเถียงกันว่า ถ้ายกเลิก พรบ.สงฆ์ ซึ่งหมายความว่า รัฐจะหมดบทบาทในการเป็นผู้คุ้มครองคณะสงฆ์ ซึ่งหมายความว่าคณะสงฆ์ก็ต้องพึ่งตัวเองแล้ว หรือหันมาพึ่งพิงประชาชนมากขึ้น เงื่อนไขแบบนี้ผลักดันให้คณะสงฆ์ต้องปฏิรูปตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็จะขาดการสนับสนุนจากประชาชน จะต้องมีการปฏิรูปอย่างจริงจังได้แล้ว การที่มีปัญหาพระสงฆ์เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า มันฟ้องให้เห็นว่า คณะสงฆ์อ่อนแอเต็มที่ และเป็นการอ่อนแอที่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล ถ้าไม่ปฏิรูปโครงสร้าง ทั้งเรื่องการปกครอง และการศึกษา คณะสงฆ์ก็จะมีความหมายน้อยลงต่อสังคมไทย สุดท้ายก็ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาปัญหาความเสื่อมของศาสนานั้นมันเกิดจากปัจจัยภายในทั้งสิ้น ปัจจัยภายนอกเป็นแค่ปัจจัยรอง กรุงศรีอยุธยาแตก เพราะแตกสามัคคี จากความปั่นป่วนข้างใน ไม่ใช่พม่ามีอานุภาพมากกว่า ดังนั้นจะไปโทษ มุสลิม หรือคริสต์ ว่า บ่อนทำลายศาสนาพุทธไม่ได้ เพราะเป็นชาวพุทธด้วยกันเองที่ไม่ใส่ใจในการปฏิรูปเพื่อทำให้คณะสงฆ์เป็นเสาหลักด้านศาสนาได้เมื่อดูความเสื่อมสลายของศาสนา อาณาจักร ในหลายประเทศก็เกิดจากปัจจัยภายในทั้งสิ้น ความเลอะเทอะข้างใน ฉะนั้น ถ้าเราไม่ตระหนักตรงนี้ไม่รีบปฏิรูปเพื่อให้ปัจจัยภายในเข้มแข็ง มิเช่นนั้นก็จะเสื่อมสลายในที่สุด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น