pearleus

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สมุทรสาครประชุมเตรียมความพร้อมจัดงานประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ประจำปี 2568

วันนี้ (13 พฤษภาคม 2568) เวลา  13.30 น. ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร  นายนริศ นิรามัยวงศ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร  เป็นในการประธานประชุมคณะกรรมการจัดงานประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ประจำปี 2568  โดยมี ส่วนราชการ  องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนครสมุทรสาคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ตำรวจ  สถานพยาบาล  คณะกรรมการบริหารศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร  กลุ่มพลังสตรีท่าฉลอม มูลนิธิ ภาคเอกชน  ภาคประชาชน และสื่อมวลชน  เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก 


สำหรับ การจัดงานประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ประจำปี 2568 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 2-6  มิถุนายน 2568 ที่บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครและบริเวณสวนสาธารณะ 60 พรรษา มหาราช เทศบาลนครสมุทรสาคร ตำบลมหาชัย  อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งภายในงานจะมีกิจกรรมที่สำคัญๆ ได้แก่ การจัดงานแถลงข่าวจัดงานประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ประจำปี 2568  วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 น. โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานการแถลงข่าว ณ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร, พิธีเปิดงานฯ ในวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2568  เริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น.โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิดงาน ณ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร, พิธีอัญเชิญเจ้าพ่อออกจากศาลฯ และร่วมขบวนแห่ๆ ทั้งทางน้ำ และขบวนแห่ทางบก จะจัดในวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568 เริ่มตั้งแต่ เวลา 08.00  น. เป็นต้นไป โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสมุทรสาคร และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ขึ้นประทับเกี้ยว และลงเรือแห่ทางน้ำ (ไปฝั่งท่าฉลอม) ในเวลา 09.00 น. เป็นต้นไป และเริ่มเคลื่อนขบวนแห่ทางบก (ฝั่งมหาชัย) ณ สะพานปลาสมุทรสาคร ไปตามเส้นทางที่กำหนด,   



สำหรับ พิธีไหว้วันเกิดเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568  โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครให้เกียรติเป็นประธานพิธีไหว้วันเกิดเจ้าพ่อฯ ในเวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร และ พิธีอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครเข้าประทับในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร เวลาเที่ยงคืน นอกจากนี้ การจัดงานจะมีระหว่างวันที่ 2-6  มิถุนายน 2568 เริ่มตั้งแต่เวลา 07.00 น.- 23.00 น. จะเปิดให้ประชาชนปิดทององค์พระพุทธรูป และเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครตลอดทั้งวัน และชมการแสดงมหรสพ ดนตรี และงิ้ว อีกด้วย 





นายกสมาคมกีฬาฯ​ หารือ​ผู้ว่าฯ​ สมุทรสาคร​ เตรียมจัดงานใหญ่​ 3 งาน



วันที่ 13​ พฤษภาคม​ 2568 นายศรีศักดิ์​ วัฒนพรมงคล​ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสมุทรสาคร​ พร้อมด้วย​ นายกัมปนาท​ จรมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย​ จังหวัดสมุทรสาคร​ เข้าพบ​ นายนริศ​ นิรามัยวงศ์​ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร​ เพื่อหารือ  3 เรื่อง​ เรื่องที่​ 1 เรื่อง​การเสนอขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ​ ในปี​ พ.ศ.2572 โดยจังหวัดสมุทรสาครจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับจังหวัดสมุทรสงคราม​ ซึ่งผู้ว่าเห็นชอบกับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ​ เพื่อเป็นการส่งเสริมการออกกำลังกาย​ การกระตุ้นเศรษฐกิจ​ และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรสาคร​


เรื่องที่​ 2 ได้หารือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดฯ​ เกี่ยวกับการจัดคอนเสิร์ต ปู​ พงษ์สิทธิ์​ คำภีร์​  ในวันที่ 1 มิถุนายน​ 2568​ ที่ตลาดทะเลไทย​ โดยขอให้ท่านผู้ว่าฯ ร่วมสนับสนุน​ และเชิญท่านเป็นประธานในพิธีเปิดและเรื่องที่​ 3 พิธีแห่ฉลองนักกีฬา​ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสมุทรสาคร


กทม. จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ประสบภัยและผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม





 วันนี้ (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) เจ้าหน้าที่กู้ชีพ กู้ภัย น.เขต แผนกบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ชุดปฏิบัติการค้นหากู้ภัยเหตุอาคาร สตง. ถล่มจากแผ่นดินไหว ร่วมในพิธีทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ประสบภัยและผู้เสียชีวิต จากเหตุดังกล่าว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจทุกท่าน โดยมี เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถระสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์  และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงาน มูลนิธิ สมาคมต่างๆ  ที่เกี่ยวข้อง ประชาชาในพื้นที่ รวมถึงครอบครัวผู้ประสบภัย ร่วมในพิธี  ณ บริเวณชั้นล่าง อาคารจอดรถ ตึก สตง. เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 






โดยในวันนี้ (13 พ.ค.) ถือเป็นวันสุดท้ายของการปฏิบัติภารกิจการค้นหา พร้อม กทม. ประกาศปิดศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แผ่นดินไหว ณ ศูนย์บัญชาการฯ เขตจตุจักร ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามภารกิจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา











แม่หาย-บ้านหาย! ลูกสาวร้องทนายรณณรงค์ หลังพบบ้านถูกขายปริศนาใน 7 วัน หวั่นถูกหลอกเซ็นเอกสาร-ยึดทรัพย์คนชรา

 

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 พ.ค. 68 ที่ มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นางวราภรณ์ ยอดคำ อายุ 49 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม , นายชาญชัย ฉายบุ และนางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กรณีนางเพ็ง งอกศรี อายุ 78 ปี ซึ่งเป็นมารดา มีภาวะความจำเสื่อม ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา ก่อนจะพบว่าในเวลาต่อมาบ้านที่อยู่อาศัยร่วมกับมารดา ถูกขายให้กับบุคคลอื่นโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีหนังสือขับไล่มาถึงภายใน 7 วัน หลังจากมารดาหายตัวไป สร้างความเคลือบแคลงใจว่าอาจมีการหลอกลวงผู้สูงอายุเพื่อยึดครองทรัพย์สินหรือไม่



     นางวราภรณ์ ผู้เสียหาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนอยู่บ้านหลังนี้กับแม่มานานกว่า 10 ปีตั้งแต่แถวบ้านเป็นทุ่งนา ก่อนที่แม่จะหายตัวไปก็มีเรื่องระหองระแหงกันบ้างตามประสาแม่-ลูก หลังจากนั้นแม่ได้หายตัวไป ก่อนจะมีหนังสือขับไล่มาแปะที่หน้าบ้าน ซึ่งเมื่อไปสอบถามกับกรมที่ดิน พบว่ามีการขายบ้านและที่ดินตรงนี้ไปแล้ว ในราคา 500,000 บาท ซึ่งแม่ของตนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ กดเอทีเอ็มไม่เป็น เลยไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วแม่ได้เงินหรือไม่ได้เงิน อาจจะถูกล่อซื้อ ซึ่งราคาที่ขายค่อนข้างถูก ราคานี้ยังซื้อเสาบ้านไม่ได้ เนื้อที่ 66 ตารางวา ตนคิดว่าไม่ควรได้เงินเพียงเท่านี้ ตนไม่เคยได้พูดคุยกับคนที่ซื้อบ้านและที่ดิน แต่รู้สึกว่ามีพิรุธ เพราะไม่เคยแสดงตัว รู้แต่จากปากชาวบ้านว่าเป็นใคร ตนอยากรู้ว่าทำแบบนี้ได้ยังไง สงสัยคนมีฐานะที่รู้ว่าแม่ตนเองนั้นเข้า-ออกบ้านนี้อยู่เป็นประจำ 

     ตนได้ประสานไปขอความช่วยเหลือกับสส.พรรคเพื่อไทย ในพื้นที่ แนะนำให้ไปยื่นเรื่องตามสถานที่ต่างๆ ทั้งศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงยุติธรรม รวมถึงกรมที่ดิน ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีการซื้อ-ขายกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ตนมีทางเดียวคือต้องย้ายออก เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าอย่าไปสู้เพราะสู้ยังไงก็แพ้ สู้ก็ติดคุกข้อหาบุกรุกและไปหาที่อยู่ใหม่ ไปติดต่อที่กรมที่ดินเจ้าหน้าที่ก็หัวร้อนใส่ ว่าให้ตนไปเอาทนายมา ตนแค่ต้องการอยากรู้ว่าใครเป็นผู้ซื้อบ้านและที่ดินของแม่ตนเอง อยากรู้ว่าแม่มากรมที่ดินกับใคร เนื่องจากแม่มีตนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะทำธุรกรรมอะไรจะมีแค่ตนที่พาไป ครอบครัวตนไม่มีญาติพี่น้อง ตอนนี้ตนรู้สึกเครียดที่สุดในชีวิต เพราะอยู่ดีๆก็จะถูกแจ้งความข้อหาบุกรุกบ้านตัวเอง


     นางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ตั้งแต่วันที่แม่ของผู้เสียหายหายตัวไปเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 68 ซึ่งปกติแม่ของผู้เสียหายก็จะเดินไป-มา แถวละแวกบ้าน วันที่ 11 มี.ค. ผู้เสียหายเริ่มรู้ว่าแม่หายตัวไป จึงพยายามตามหาและถามหากับเพื่อนบ้าน ไปตามที่ผู้ใหญ่บ้านและผู้นำชุมชน มีคนบอกว่าเดี๋ยวก็คงกลับบ้าน หลังจากนั้นมีหนังสือ Notice มาติดที่หน้าบ้านเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 68 จึงเดินทางไปลงบันทึกประจำวันว่าแม่ได้หายตัวไป จากนั้นจึงได้ติดต่อมาที่มูลนิธิฯ ตนจึงแนะนำให้ไปหาหลักฐานก่อนที่จะให้ช่วยเหลือ



     จากนั้นผู้เสียหายจึงเดินทางไปที่กรมที่ดิน พบเอกสารว่ามีบุคคลได้ซื้อบ้านและที่ดิน เมื่อมีการพูดคุยกับชาวบ้านจึงรู้ว่าเป็นใคร ซึ่งอันดับแรกผู้เสียหายต้องการขอให้มูลนิธิฯช่วยตามหาแม่ กลัวว่าแม่จะโดนหลอกไปขายบ้าน เพราะแม่เคยโดนหลอกมาแล้ว 1 ครั้ง โดยให้เซ็นกระดาษเปล่าเพื่อไปถอนเงินกองทุนหมู่บ้าน แต่ธนาคารออมสินไม่ยอมให้เบิก จึงทำให้ไม่เป็นหนี้ 10,000 บาท ลูกสาวจึงได้มีการตักเตือนไปว่าหากทำอะไรต้องมีการบอกกล่าวกันก่อน วันนี้ผู้เสียหายไม่มีที่อยู่ และแม่ได้หายตัวไปเป็นเดือน ยังมีความหวังก็จะยังมีชีวิตอยู่ ทางมูลนิธิฯก็จะช่วยตามหา โดยเฉพาะคนที่รับซื้อบ้านและที่ดิน จะต้องรู้ว่าแม่ของผู้เสียหายหายตัวไปไหน 


     ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า ตอนแรกที่ผู้เสียหายติดต่อมาดูอาจจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่เมื่อตนให้ไปหาหลักฐาน ทางผู้เสียหายจึงได้พยายามไปหาหลักฐานเพิ่มเติม และเดินทางมาจากจ.ร้อยเอ็ด ทางมูลนิธิฯจึงรับเรื่องและประสานให้นักข่าวมาช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ ซึ่งหลังจากตนรับเรื่องและได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าจำไม่ได้ว่ามีการมาลงบันทึกประจำวันว่ามีหญิงสูงอายุหายตัวไปไว้ โดยดูจากในใบบันทึกประจำวันก็มีการระบุไว้ชัดเจน

     อย่างแรก ตนมองว่าถ้าสามารถตามหาตัวของคุณแม่ผู้เสียหายเจอ จึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับการหายตัวไป การขายบ้านและที่ดิน รวมถึงเงินอีกกว่าครึ่งล้าน ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเป็นห่วงว่าใครจะทำร้ายแม่ตนเอง ทุกวันนี้ก็ยังหาไม่เจอ ที่สำคัญไม่รู้ว่าแม่ขายบ้านไปแล้วได้เงินจริงหรือไม่ แต่มีเอกสารจากกรมที่ดินว่ามีการรับเงินจากการขายบ้านจริง ซึ่งไม่รู้ว่าคุณแม่เอาเงินไปฝากใคร และไปอยู่กับใครถึงได้หายตัวไป

     มีข้อสงสัยว่าเจ้าพนักงานที่ดินที่ดีควรต้องสังเกตว่าคุณแม่มากับลูก มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนระหว่างการทำธุรกรรมหรือไม่ ตนอยากให้กรมที่ดิน จ.ร้อยเอ็ด ออกมาอธิบายเรื่องนี้ คนอายุ 78 ปี มาขายที่ดินและได้รับเงินกว่าครึ่งล้าน เดินทางมากับใคร ตนรู้สึกติดใจกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ หลังจากวันนี้เมื่อนำเสนอข่าวออกไปคาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้ว่ามีคดีนี้อยู่ในมือ การแจ้งคนหายควรออกตามหาไม่ใช่ต้องรอให้ออกสื่อ หลังจากนี้ทางมูลนิธิฯจะขึ้นรูปคุณแม่ของผู้เสียหาย เพื่อให้ประชาชนช่วยกันตามหา ตนไม่อยากลงลึกว่าที่ดินผืนตรงนั้น มันอาจจะเป็นทางเข้า-ออกของหมู่บ้านจัดสรรด้านหลังก็ได้ จึงอาจเป็นสาเหตุให้มีการซื้อ-ขายบ้านเกิดขึ้น

     นายชาญชัย ฉายบุ ที่ปรึกษามูลนิธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เคสนี้ไม่ใช่ว่าลูกจะหมดหวัง เพราะในทางกฎหมาย การหลอกคนแก่ไปทำธุรกรรม ทางกฎหมายสามารถให้เป็นโมฆะหรือโมฆียะได้ แต่ทำไมเจ้าหน้าที่กลับปล่อยปะละเลยเรื่องนี้ได้อย่างไร ควรมีการสอบถามถึงสติสัมปชัญญะของหญิงสูงอายุวัย 78 ปี ว่ามีลูกหลานรับรู้ด้วยหรือไม่ หากละเลยก็ถือว่ามีความผิดในมาตรา 157 และการซื้อ-ขายบ้านและที่ดิน ต้องมีการเซ็นพยาน 2 คน ซึ่งสามารถสืบค้นให้ความจริงกระจ่างได้