pearleus

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2562

โครงการ“รวมพลังตามรอยพ่อฯ” ปี 7 เดินเครื่องสู่เฟสที่ 3 สานต่อศาสตร์พระราชา-ลงพื้นที่จ.เลยฟื้นฟูป่าต้นน้ำป่าสัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ของโครงการ“พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน”บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตจำกัด ร่วมกับ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียงมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ยังคงขับเคลื่อนก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ด้วยแนวคิด “แตกตัวทั่วไทย สานพลังสามัคคี” นำทีมลงพื้นที่ อ. ภูหลวง จ. เลย ร่วมกันฟื้นฟูป่าต้นน้ำแถบเทือกเขาเพชรบูรณ์แหล่งกำเนิดแม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำสำคัญหลายสายที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยในภาคกลาง และชาวอีสานตอนบนตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน


โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน”มุ่งเน้นการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักเห็นความสำคัญ และเห็นผลจริงในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนพร้อมกับการแก้ปัญหาดิน น้ำ ป่า คน และหยุดท่วม-หยุดแล้งในลุ่มน้ำป่าสักอย่างยั่งยืน โดยการนำศาสตร์พระราชาที่พระบาทสมเด็จพระบรม
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ไปลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในการแถลงเปิดโครงการฯปี 7 ว่า “ศาสตร์พระราชา คือ ศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงศึกษา ทดลอง ทรงงานมาตลอดพระชนม์ชีพ และพระราชทานแก่ชาวไทยและชาวโลกเพื่อแก้ปัญหาทุกด้านอย่างยั่งยืน จนองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ถวายพระเกียรติด้วยการประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ เป็น “วันดินโลก” มีการจัดตั้งสมัชชาดินโลก สมัชชาดินแห่งเอเชีย สมัชชาดินแห่งประเทศไทยตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย CESRA  (Center of Excellence for Soil Research in Asia)  ซึ่งมีเป้าหมาย 3 เรื่องตรงกับที่พระองค์ทรงทำไว้ทั้งหมด คือ Soil Pollution การทำกสิกรรมธรรมชาติ หยุดสารพิษลงดิน Soil Erosion หยุดการชะล้างและการพังทลายของหน้าดิน ที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน และ Soil Diversity การสร้างความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตบนดินซึ่งหมายถึงเรื่องป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างที่โครงการฯ ทำมาทั้งสิ้นอย่างต่อเนื่อง


“การดำเนินการต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมาทำให้โครงการขยายตัวไปอย่างมาก ซึ่งต้องถือว่าเป็นการขยายตัวในเชิงนโยบายไปถึงระดับชาติและระดับโลกแล้วและตรงกับเป้าหมายในปีที่ 7 ของโครงการฯ และได้รับความร่วมมือจาก 7 ภาคีที่ร่วมขับเคลื่อน ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคศาสนา และสื่อมวลชน เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันวางรากฐานการพัฒนามนุษย์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติระดับลุ่มน้ำ และเพื่อเชื่อมโยง 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศอย่างเป็นเอกภาพ”

นายอาทิตย์  กริชพิพรรธ  ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจบริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตจำกัดกล่าวว่า “เชฟรอนภูมิใจที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนและสนับสนุนโครงการมาอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จเช่นนี้  ด้วยการเป็นแกนนำภาคเอกชนทั้งพนักงานของเราเองและพันธมิตรในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ และสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร  การดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างชัดเจน และพิสูจน์ได้ว่าการประยุกต์‘ศาสตร์พระราชา’ ทั้งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถพลิกฟื้นพื้นที่แห้งแล้งให้กลับเขียวขจีทำให้เกษตรกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นจริงปลดหนี้ได้ที่สำคัญเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม  เชฟรอนจึงยังยืดหยัดที่สนับสนุนและมีความหวังที่จะเห็นการขยายตัวแตกตัวไปให้ครบทั้ง25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ

พร้อมระบุว่า  โครงการนี้มีแนวคิดสอดคล้องกับโครงการเพื่อสังคมของเชฟรอน ที่มุ่งเน้นการสร้างคน องค์ความรู้ และจิตสำนึก และสนับสนุนนโยบายด้านสังคมทั้ง 4 ด้านของเชฟรอน คือ ด้านการศึกษาด้วยการเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่การลงมือปฏิบัติ ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต ที่ช่วยให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แก่การช่วยฟื้นฟู ดิน น้ำ ป่า และด้านการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ Sustainable Development Goals –SDGsขององค์การสหประชาชาติหลายข้อจาก 17 ข้อ ที่มุ่งเน้นการลดความหิวโหยจากการสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัยและมั่นคงในพื้นที่ของตัวเองรวมถึงขจัดความยากจนที่สอนให้รู้จักพึ่งพาตนเองและดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มจากการพอมี พอกิน พอใช้ ซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานของการพัฒนาอย่างมั่นคง

นายไตรภพ โคตรวงษา ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และตัวแทนสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงเครือข่ายภาควิชาการกล่าวว่า “เรายังคงใช้กลยุทธ์การ ‘เอามื้อสามัคคี’ หรือ การลงแขกตามประเพณีดั้งเดิมของคนไทยมาเป็นกลวิธีในการขับเคลื่อน และขยายผลให้ครอบคลุม25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศไทยตามเป้าหมายที่โครงการตั้งไว้การดำเนินงานในระยะที่ 3 นี้ เราขยายฐานในวงกว้างพร้อมกับสร้างความเข้มแข็งในเชิงลึก โดยการสานพลังสามัคคี พัฒนามนุษย์ และฟื้นฟูลุ่มน้ำไปพร้อมกัน เราเร่งสร้างผู้นำและเสริมศักยภาพให้แก่คนเหล่านี้เพื่อให้เป็นแม่ทัพในลุ่มน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ  เราให้ทีมงานของมูลนิธิฯ ลงพื้นที่มากขึ้น เพื่อดูว่าศูนย์เรียนรู้ต่างๆ ที่สร้างไว้เป็นอย่างไร หากติดขัดหรือต้องการความช่วยเหลือด้านไหน เราจะไปหนุนเสริม เพราะเขาคือผู้ออกไปรบจึงต้องมีความพร้อม เป็นการเสริมความสามัคคีเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและขยายผลไปสู่ทุกลุ่มน้ำได้อย่างเข้มแข็ง โดยสามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับกิจกรรมเอามื้อสามัคคีเพื่อฟื้นฟูป่าต้นน้ำป่าสักที่จะจัดขึ้นที่ อ.ภูหลวง จ.เลย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวในฐานะเจ้าบ้านว่า  จังหวัดเลย ตั้งอยู่ทางตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา จึงเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ ได้แก่ ต้นน้ำเลย ลำน้ำพุง ลำน้ำพอง และแม่น้ำเหือง มีเนื้อที่ทั้งหมด 6,562,289 ไร่ มีสภาพป่าคงเหลือ 2,119,436 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 32.30 ของพื้นที่ แนวโน้มในการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของพื้นที่ป่ามีลักษณะคงที่แสดงว่าไม่มีการบุกรุกพื้นที่แปลงใหญ่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ถ้าส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในพื้นที่ของตนเองในลักษณะปลูกสวนป่าเพื่อเศรษฐกิจ จะทำให้ จ.เลยมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นได้ และยังเป็นการส่งเสริมอาชีพให้ราษฎรได้อีกทางหนึ่ง

โดยกิจกรรมครั้งนี้ จังหวัดได้มอบหมายสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเลย ร่วมกับ อ.ภูหลวง  อบต.เลยวังไสย์ หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย. 9 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง และเจ้าหน้าที่มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ร่วมกันตรวจสอบเพื่อจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีในแปลงที่ดินของนายแสวง ดาปะ บ้านศรีเจริญ ต.เลยวังไสย์ อ.ภูหลวง จ.เลย ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติอยู่ระหว่างป่าภูหลวง และป่าภูหอ ที่กรมป่าไม้ได้มอบให้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)ดูแล ส่วนกิจกรรมนำสื่อมวลชนชมต้นน้ำป่าสัก จะดำเนินกิจกรรมบริเวณจุดชมวิวสักหง่า บ้านหินสอ ต.ปลาบ่า อ.ภูเรือ จ.เลย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคีของชาวจ.เลย และประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมและการรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมกับชมรมจักรยานจังหวัดเลย โดยนายกเทศมนตรีเมืองเลย นายสัมพันธ์  คูณทวีลาภผล จัดกิจกรรมปั่นจักยานรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ในวันที่ 1 สิงหาคม 2562 โดยขบวนจักรยานจะออกจาก อ.เมืองเลย ถึง อ.วังสะพุง รวมระยะทางประมาณ 45 กม. ซึ่งจะได้เชิญประชาชน และนักปั่นจักรยานเข้าร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียงกัน

ผศ.พิเชฐ  โสวิทยสกุล รักษาการผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สจล. หนึ่งในภาคีเครือข่ายภาควิชาการ กล่าวถึงความคืบหน้าของ“โครงการวิจัย ‘การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย การติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำและชุมชนอย่างมีส่วนร่วม’ ของศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สจล. (ITOKmitl) ว่า ได้มีการลงพื้นที่เพื่อจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งออกแบบและปรับปรุงการพัฒนาพื้นที่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ให้เป็นระบบและได้มาตรฐานทางวิชาการ สามารถนำฐานข้อมูลมาประมวลผลในมิติต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม

โดยมีพื้นที่วิจัยอยู่ใน 3 จังหวัด คือ อ. นาเรียง จ.อุดรธานี  อ.แม่ระมาด จ.ตาก และอ.แม่ฮ่าง จ.ลำปาง จำนวน 30 ราย รวม 300 ไร่ แต่เนื่องจากมีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก จึงขยายพื้นที่วิจัยเป็น 40 ราย 400 ไร่  ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ได้ส่งข้อมูลเรื่องดินบางส่วนจาก200 กว่าตัวอย่างใน3 พื้นที่ให้แก่กรมพัฒนาที่ดินซึ่งสามารถวัดได้ละเอียดกว่า และได้รับผลตรวจกลับมาแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปเป็นผลวิจัย ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง

“นอกจากผลวิจัยที่เป็นตัวเลขสถิติ เราสามารถวัดความสำเร็จของโครงการด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องคน เพราะหัวใจของโครงการ คือ การสร้างคน การต่อยอดคนมีใจ เช่น ที่อ.นาเรียง จ.อุดรธานี เครือข่ายเปิดศูนย์ฝึกและอบรมคนไปแล้ว 3 รุ่นๆละ 100 คนรวม 300 คน ที่ห้วยกระทิง แม่ระมาด จ.ตาก เครือข่ายเปิดศูนย์ฝึกและอบรมไปแล้ว 2 รุ่น ส่วนที่แม่ฮ่าง จ.ลำปาง แม้จะไม่ได้มีการเปิดศูนย์ฝึก แต่มีความสำเร็จในรายบุคคล  นอกจากนี้เครือข่ายยังตระเวนสอนการออกแบบพื้นที่ในหลายจังหวัด เช่น จ.น่าน จ.พะเยา จ.แพร่จ.สุโขทัย  แม้ว่าเราจะใช้มาตรฐานเดียวกันในการวัดความสำเร็จของทั้ง 3 พื้นที่ไม่ได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีบริบททางสังคมต่างกัน  แต่ถือได้ว่าเราประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ”

ทั้งนี้โครงการ“พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” ปีที่ 7 ยังคงเดินหน้าเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่การลงมือปฏิบัติในพื้นที่ต่างๆด้วยการจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้งปี อาทิ
วันที่ 1สิงหาคม2562 ร่วมกิจกรรมขบวนปั่นจักรยานรณรงค์ จากศาลากลางจังหวัดเลย ถึงวัดป่าประชาสรรค์ อ. วังสะพุง จ.เลยพร้อมแวะทำกิจกรรมในพื้นที่ของเครือข่ายและคนมีใจ รวมระยะทาง45กม.
วันที่ 2-4 สิงหาคม 2562ร่วมกิจกรรมเอามื้อสามัคคี ณ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติภูหลวง และไร่นาป่าสวนขุนเลยของนายแสวง ปาดะ อ.ภูหลวง จ.เลย









วันที่ 12กันยายน2562ชมพื้นที่ของนายประวีณ  ศิราไพบูลย์พร(ติ่ง) และนางสาวกรองกาญน์ ศิราไพบูลย์พร(ต๋อย) 2พี่น้องชาวปกาเกอะญอ พื้นที่ในโครงการวิจัย “การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยการติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม” ของศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศสจล.ที่บ้านแม่ฮ่างอ.งาวจ.ลำปาง
วันที่ 26ตุลาคม 2562ร่วมงาน “สานพลังสามัคคี” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ผู้ที่สนใจติดตามกิจกรรมได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbythekingหรือดูรายละเอียดที่ https://ajourneyinspiredbytheking.org



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น