เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้พระยาวิเชียรโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) เจ้ากรมท่าซ้าย สังกัดกรมพระคลังมหาสมบัติมาซ่อมแซมป้อมปราการที่เมืองสาครบุรีซึ่งมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเหตุที่ทรงเห็นว่าการศึกทางบกกับพม่าคงจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่ภัยคุกคามสมัยใหม่ที่ใช้เรือรบและปืนใหญ่จากชาติตะวันตกมากกว่า ทรงมีความวิตกกังวลในเรื่องนี้จึงโปรดให้ปรับปรุงสร้างป้อมปราการที่ตั้งอยู่จังหวัดชายทะเลให้มั่นคงแข็งแรง โดยปากอ่าวทะเลไทยมี ๒ แห่งคือที่เมืองเขื่อนขันธ์สมุทรปราการ และที่ปากน้ำเมืองสาครบุรี มีความปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงค์ (ขำ บุนนาค) พ.ศ. ๒๓๗๑ มีดังนึ้
"ที่เมืองสาครบุรีโปรดให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) ไปทำป้อมที่ริมทางร่วมปากคลองมหาชัยป้อม ๑ ป้อมครั้นแล้วโปรดให้ชื่อป้อมวิเชียรโชฎก ค่าแรงจีนถือปูน ๔๗ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง โปรดฯให้ยกเอาครัวมอญในเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรี๊ยะ) ขึ้นไปตั้งทำมาหากินอยู่ที่เมืองสาครบุรี จำนวนคน เจ้ากรมป้อม หลวงพหลมหึมา ขุนเดชาชำนาญ ปลัดกอง แล้วโปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง เป็นแม่กองไปขุดคลองสุนัขหอน............. สิ้นเงินค่าแรงจีนขุดเป็นเงิน ๑๐๒ ชั่ง ๔ ตำลึง ๑ สลึง ๑ เฟื้อง"
คลองสุนัขหอนน่าจะเป็นคลองเก่ามีมาแต่ครั้งราชธานีศรีอยุธยา มีบันทึกในวารสาร Le Sism.Aneien ของ Lucien Foumereau ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑ บันทึกเรื่องราวของ Francis วิศวกรชาวฝรั่งเศษที่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๔ มีการทำแผนที่แสดงตำแหน่งแม่น้ำและชุมชนต่าง ๆ บริเวณเมืองสาครบุรี แผนที่ดังกล่าวระบุชื่อเมือง Taquin ซึ่งหมายถึงเมืองท่าจีน ส่วนคลองระบุว่า Meclon คาดว่าหมายถึงคลองหมาหอน ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อให้ไพเราะขึ้นเป็นคลองสุนัขหอน (ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและสังคมสมุทรสาคร : เนื้อหาการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์จังหวัดสมุทรสาคร)
ในแถบลุ่มแม่น้ำท่าจีน คลองสุนัขหอนและไกล้เคียงจึงมีชาวมอญเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่การอพยพในครั้งนั้น โดยครัวเรือนมอญเข้าสังกัดเจ้ากรมป้อม มีบาญชีชื่อเพื่อสะดวกในการเรียกฝึกหรือระดมพลในยามมีศึกสงคราม ดังนั้นที่เมืองสาครบุรีและเมืองสมุทรปราการจึงมีชาวมอญอาศัยอยู่จำนวนมากถึงปัจจุบัน
ครั้นเมื่อได้สร้างป้อมวิเชียรโชฎกเสร็จแล้วพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ โปรดให้ส่งปืนใหญ่ที่สั่งซื้อมาจากอังกฤษและเดนมาร์ก และหล่อขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ไปไว้ประจำป้อมและถวายรายงานให้ทรงทราบ มีข้อความดังนี้
" วันศุกร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ จุลศักราช ๑๑๙๐ ปีฉลู เอกศก ข้าพระพุทธเจ้า พญาศรีเสาวราช ขอพระรทชทานทำหางว่าวปืนใหญ่ กระสุนปัตตันซึ่งจ่ายไว้ ณเมืองสมุทรปราการ ณคอรเคือนขัน (นครเขื่อนขันธ์) ษาคอรบุรีย์ (สาครบุรี) ถวายฉบับหนึ่ง
ณะ เมืองษาคอรบุรีย์ ปืนบเรียม ๒๒ กระสุนโดด ๒๒๐๐ เมืองษาคอรบุรีย์ปินบเรียมกระสุน ๕ นิว ๑๑ นิวครึ่ง ๙๖ นิว (รวม) ๒๒ กระบอก กระสุนโด ๔ นิว ๑๑๐๐ ๕ นิว ๑๐๐ ๙ นิวครึ่ง ๒๐๐ (รวม) ๒๒๐๐ " (สมุทรสาครในประวัติศาสตร์และวรรณคดี : สมพงษ์ เชาว์แหลม เรื่องที่ ๒๖ - ๒๗)
แต่ครั้งนั้นมาถึงพ.ศ. ๒๕๔๙ ไม่มีผู้ใดทราบจำนวนปืนใหญ่ ไม่มีหน่วยงานของรัฐแห่งใดรับผิดชอบดูแล นายวีรยุทธ เอี่ยมอำภา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครขณะนั้นสนใจในเรื่องนี้ได้สั่งการให้นายสมชาย ลักษณกุลฑล วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาครดำเนินการสำรวจและขอทราบหน่วยงานที่รับผิดชอบ หลังการสำรวจแล้ววัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาครได้รายงานว่า
"... ปืนโบราณนี้ติดตั้งมาตั้งแต่สร้างป้อมวิเชียรโชฎกเสร็จเรียบร้อยแล้ว นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๑๗๐ ปี ไม่มีหลักฐานจำนวนปืน ไม่มีหลักฐานผู้รับผิดชอบดูแลรักษาปืน และไม่มีหลักฐานการสูญหาย
ขณะนี้ได้สำรวจจำนวนปืนที่คงอยู่ในปัจจุบัน ปรากฏว่ามีจำนวน ๑๓ กระบอก ไม่พบกระสุนปืน ได้ทำบัญชีเสนอจังหวัดแจ้งให้กรมศิลปากรทราบ เนื่องจากปืนดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว "
จากบาญชีปืนใหญ่ที่พญาศรีเสาวราชถวายรายงานสรุปว่ามีจำนวน ๒๒ กระบอก เมื่อสำรวจพบว่าคงเหลืออยู่ ๑๓ กระบอก จึงสูญหายไป ๙ กระบอก มา พ.ศ.นี้ไม่ทราบว่ายังคงเหลือเท่าเดิมหรือไม่และหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบดูแลรักษาปืน หากมีโอกาสจะเรียนถามวัฒนธรรมจังหวัดเมื่อทราบผลประการใดจะเขียนรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป
ปัจจุบันบริเวณหน้าป้อมมีการถมที่สูงขึ้นและทำเป็นที่จอดรถ ทำให่ตัวป้อมเตี้ยลงไปและถูกบดบังทัศนียภาพหมดสง่าราศีไปอักโข ไม่เป็นป้อมปราการที่น่าเกรงขามเช่นในอดีต
ปืนใหญ่โบราณที่ติดตั้งอยู่ที่เมืองสมุทรสาครนี้เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเป็นเมืองโบราณ เป็นเมืองหน้าด่านที่มีปืนใหญ่สำหรับต่อสู้ชาติที่จะเข้ามารุกรานทางทะเล และยิงสลุต (Gun Salufe) รับฑูตต่างชาติที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรี จึงหาใช่เป็นเมืองประมงดงอาหารทะเลเท่านั้น ผู้เขียนเห็นว่าเมืองมหาชัยเป็นเมืองทางผ่านที่ประชาชนทั้งไทยและต่างชาติเดินทางผ่านถนนพระรามที่ ๒ สู่ภาคใต้หากจะนำปืนโบราณนี้มาติดตั้งที่ถนนหน้าเมือง เพื่อให้ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านที่มีความสนใจประวัติศาสตร์และโบราณสถานได้แวะเข้ามาเยี่ยมชมศึกษาหาความรู้ซึ่งก็จะเป็นการเผยแพร่ความเป็นเมืองโบราณควบคู่กับเมืองประมง ดงอาหารทะเล (อร่อย)ที่ประชาสัมพันธ์กันเอิกเกริกในขณะนี้
pearleus































0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น