หลังสงครามเก้าทัพที่พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่ายกกำลังพลนับแสนเข้ามารุกรานไทยในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ โดยกองทัพที่ยกเข้ามานี้ตั้งแต่เหนือจดใต้ ได้แก่ เชียงใหม่ ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี ชุมพรและภูเก็ต รัชกาลที่ ๑ ทรงใช้กำลังพลแค่หลักหมื่นแต่รบแบบกองโจร ดักตี ปล้นสดมภ์ได้ทั้งอาวุธและเสบียง ทำให้กองทัพพม่าล้มตาย ขาดแคลนอาวุธและอาหารอย่างหนัก พระเจ้าปดุงจึงเลิกทัพถอยกลับไปหมด
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงเห็นว่าการศึกทางบกกับพม่าคงจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่ภัยคุกคามสมัยใหม่ที่ใช้เรือรบและปืนใหญ่จากชาติตะวันตกมากกว่า ทรงมีความวิตกกังวลในเรื่องนี้โดยเฉพาะญวน จึงโปรดให้ปรับปรุงสร้างป้อมปราการที่ตั้งอยู่จังหวัดชายทะเลให้มั่นคงแข็งแรง โดยปากอ่าวทะเลไทยมี ๒ แห่งคือที่เมืองเขื่อนขันธ์สมุทรปราการ และที่ปากน้ำเมืองสาครบุรี มีความปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงค์ (ขำ บุนนาค) พ.ศ. ๒๓๗๑ มีดังนึ้
"ที่เมืองสาครบุรีโปรดให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) ไปทำป้อมที่ริมทางร่วมปากคลองมหาชัยป้อม ๑ ป้อม ครั้นแล้วโปรดให้ชื่อป้อมวิเชียรโชฎก สิ้นค่าแรงจีนถือปูน ๔๗ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง โปรดฯให้ยกเอาครัวมอญในเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรี๊ยะ) ขึ้นไปตั้งทำมาหากินอยู่ที่เมืองสาครบุรี จำนวนคน เจ้ากรมป้อม หลวงพหลมหึมา ขุนเดชาชำนาญ ปลัดกอง..."
ในแถบลุ่มแม่น้ำท่าจีน มีคลองหลายคลองเช่นคลองสุนัขหอน คลองมหาชัยและไกล้เคียง จึงมีชาวมอญเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่การอพยพในครั้งนั้น โดยครัวเรือนมอญเข้าสังกัดเจ้ากรมป้อม มีบาญชีชื่อเพื่อสะดวกในการเรียกฝึกหรือระดมพลในยามมีศึกสงคราม ดังนั้นที่เมืองสาครบุรีและเมืองสมุทรปราการจึงมีชาวมอญอาศัยอยู่จำนวนมากถึงปัจจุบัน
ครั้นเมื่อได้สร้างป้อมวิเชียรโชฎกเสร็จแล้วพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ โปรดให้ส่งปืนใหญ่ที่สั่งซื้อมาจากอังกฤษและเดนมาร์ก และหล่อขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ไปไว้ประจำป้อมและถวายรายงานให้ทรงทราบ มีข้อความดังนี้
" วันศุกร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ จุลศักราช ๑๑๙๐ ปีฉลู เอกศก ข้าพระพุทธเจ้า พญาศรีเสาวราช ขอพระราชทานทำหางว่าวปืนใหญ่ กระสุนปัตตันซึ่งจ่ายไว้ ณเมืองสมุทรปราการ ณคอรเคือนขัน (นครเขื่อนขันธ์) ษาคอรบุรีย์ (สาครบุรี) ถวายฉบับหนึ่ง
ณะ เมืองษาคอรบุรีย์ ปืนบเรียม ๒๒ กระสุนโดด ๒๒๐๐ เมืองษาคอรบุรีย์ปินบเรียมกระสุน ๕ นิว ๑๑ นิวครึ่ง ๙๖ นิว (รวม) ๒๒ กระบอก กระสุนโด ๔ นิว ๑๑๐๐ ๕ นิว ๑๐๐ ๙ นิวครึ่ง ๒๐๐ (รวม) ๒๒๐๐ " (สมุทรสาครในประวัติศาสตร์และวรรณคดี : สมพงษ์ เชาว์แหลม เรื่องที่ ๒๖ - ๒๗)
แต่ครั้งนั้นมาถึงพ.ศ. ๒๕๔๙ ไม่มีผู้ใดทราบจำนวนปืนใหญ่ ไม่มีหน่วยงานของรัฐแห่งใดรับผิดชอบดูแล นายวีรยุทธ เอี่ยมอำภา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครขณะนั้นสนใจในเรื่องนี้ได้สั่งการให้นายสมชาย ลักษณกุลฑล วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาครดำเนินการสำรวจและขอทราบหน่วยงานที่รับผิดชอบ หลังการสำรวจแล้ววัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาครได้รายงานว่า
"... ปืนโบราณนี้ติดตั้งมาตั้งแต่สร้างป้อมวิเชียรโชฎกเสร็จเรียบร้อยแล้ว นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๑๗๐ ปี ไม่มีหลักฐานจำนวนปืน ไม่มีหลักฐานผู้รับผิดชอบดูแลรักษาปืน และไม่มีหลักฐานการสูญหาย
ขณะนี้ได้สำรวจจำนวนปืนที่คงอยู่ในปัจจุบัน ปรากฏว่ามีจำนวน ๑๓ กระบอก ไม่พบกระสุนปืน ได้ทำบัญชีเสนอจังหวัดแจ้งให้กรมศิลปากรทราบ เนื่องจากปืนดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว "
จากบาญชีปืนใหญ่ที่พญาศรีเสาวราชถวายรายงานสรุปว่ามีจำนวน ๒๒ กระบอก เหลืออยู่ ๑๓ กระบอก ตั้งอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ เช่นที่ป้อมวิเชียรโชฎก หน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง หน้าสำนักงานเทศบาลนครสมุทรสาคร สูญหายไป ๙ กระบอก
ปัจจุบันบริเวณหน้าป้อมริมแม่น้ำทาาจีนมีการถมดินสูงขึ้นและเทคอนกรีตทำเป็นที่จอดรถ ทำให้ตัวป้อมเตี้ยลงไปและถูกรถยนต์บดบังทัศนียภาพหมดสง่าราศีไปอักโข ไม่เป็นป้อมปราการที่น่าเกรงขามเช่นในอดีต
ปืนใหญ่โบราณที่ติดตั้งอยู่ที่เมืองสมุทรสาครนี้เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเป็นเมืองโบราณ เป็นเมืองหน้าด่านที่มีปืนใหญ่สำหรับต่อสู้ชาติที่จะเข้ามารุกรานทางทะเล และยิงสลุต (Gun Salufe) รับฑูตต่างชาติที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรี ณ พระนครกรุงศรีอยุธยา จึงหาใช่เป็นเมืองประมงดงอาหารทะเลเท่านั้น ผู้เขียนเห็นว่าเมืองมหาชัยเป็นเมืองทางผ่านที่ประชาชนทั้งไทยและต่างชาติเดินทางผ่านถนนพระรามที่ ๒ สู่ภาคใต้หากจะนำปืนโบราณนี้มาติดตั้งที่ถนนหน้าเมืองสัก ๑ กระบอกคู่กับเรือประมง เพื่อให้ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านที่มีความสนใจประวัติศาสตร์และโบราณสถานได้แวะเข้ามาเยี่ยมชมศึกษาหาความรู้ซึ่งก็จะเป็นการเผยแพร่ความเป็นเมืองโบราณควบคู่กับเมืองประมง ดงอาหารทะเล (อร่อย) และเขตประวัติศาสตร์ ที่ประชาสัมพันธ์กันเอิกเกริกในขณะนี้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น