นักเขียนดัง นักเพลงคนดัง
ประภาส ชลศรานนท์
เล่า สะท้อน
ในไร่แห่งศีลธรรม อาจมีวัชพืชปะปน แต่ต้นโพธิ์แท้ยังยืนหยัด
ทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่สร้างความผิดหวัง ก็มักมีเสียงสะท้อนจากคนรุ่นใหม่ว่า “เราขอแค่ธรรมะจากพระพุทธเจ้า ไม่จำเป็นต้องนับถือพระสงฆ์”
บางคนถึงขั้นปฏิเสธองค์สงฆ์ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า ศาสนาควรพึ่งตน ไม่ต้องมีตัวกลางใด ๆ
ฟังเผินๆ ดูมีเหตุผล แต่หากเราค่อย ๆ เปิดดู “อดีต” ที่ชาวพุทธอาศัยอยู่บนเส้นทางนั้นมาตลอด ก็จะพบความจริงที่นุ่มลึกว่า
หากไม่มีพระสงฆ์ เราคงไม่มีธรรมะให้ศึกษา ไม่มีพระไตรปิฎกให้อ่าน และไม่มีศาสนาพุทธให้เราเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ
เพราะในวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ศาสนาไม่ได้ถูกสลักไว้ในหิน ไม่ได้อัดเสียงไว้ในระบบคลาวด์ แต่ฝากไว้ในใจของ “พระสงฆ์” รุ่นแล้วรุ่นเล่า
พวกท่านท่องจำพระธรรมวินัย ปรึกษาหารือกันอย่างถี่ถ้วน และจัดสังคายนาให้คำสอนคงอยู่ตรงตามต้นฉบับ
หนึ่งเสียงผิดหรือข้ามคำ ก็อาจทำให้ศาสนาเปลี่ยนไปอีกทางได้เลย
การสังคายนาครั้งแรกเกิดขึ้นหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียงสามเดือน โดยพระมหากัสสปะเป็นผู้ชักชวนสงฆ์ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ มาทบทวนพระธรรมวินัยร่วมกัน
จนผ่านมาราว 400 ปี จึงเริ่มมีการจารึกคำสอนเป็นลายลักษณ์อักษรบนใบลาน โดยเริ่มที่ลังกา ก่อนจะเผยแผ่สู่สุวรรณภูมิ
ธรรมะที่เราศึกษาวันนี้ คือผลจากการทุ่มเทของพระสงฆ์นับพันรูป นับพันปี
ท่านเดินเท้า ข้ามทะเล จารึกตัวอักษรใต้แสงตะเกียง สวดทวนซ้ำวันแล้ววันเล่า ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องศรัทธา แต่เพื่อไม่ให้ “ความรู้แจ้ง” สูญหาย ด้วยภาษาบาลีที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเหมือนภาษาที่กำลังดิ้นได้ทุกวันนี้
และแม้พระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานไปกว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว แต่แผ่นดินนี้ยังมีพระสงฆ์ที่เป็นอริยบุคคล ผู้สืบทอดวัตรปฏิบัติอันงดงามต่อเนื่องมามิเคยขาด
หลายรูปละกิเลสได้จริง หลายรูปยังดำรงอยู่ในวิถีที่มั่นคง สมถะ งดงาม เราอาจเคยได้ยินเพียงชื่อเสียง แต่หากตั้งใจ เราสามารถเดินทางไปฟังธรรมอย่างใกล้ชิด และแม้จะไม่ได้อยู่ต่อหน้า ก็ยังมีคำสอนของท่านมากมายให้เราฝึกปฏิบัติ จะด้วยเสียง แสง หนังสือ หรือความสงบในบทสวด
ศรัทธาที่ไม่ใช่แค่มือที่กราบลงพื้น แต่คือการฝึกจริงในชีวิตจริง ยังเกิดขึ้นได้ เพราะในแผ่นดินนี้ ยังมีแสงประทีปที่สว่างต่อเนื่องมาจากครั้งพุทธกาลผ่านพระสงฆ์ผู้เป็นสุปฏิปันโณ
แน่นอนว่า ในแต่ละยุคย่อมมีผู้ประพฤติไม่ดีปะปน เช่นเดียวกับในทุกวงการ แต่หากเราจะละทิ้งวัดเพียงเพราะพระบางรูปทำผิด ก็คงเหมือนการตัดทั้งป่าเพราะเห็นว่าวัชพืชขึ้นรก
คนรุ่นใหม่มีสิทธิ์ตั้งคำถาม และพระสงฆ์เองก็ควรเป็นผู้น้อมรับปัญหานั้นอย่างกล้าหาญ แต่ในขณะเดียวกัน หากเราต้องการศึกษาพุทธศาสนาให้ลึกและครบ
เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะ “วางศรัทธาอย่างมีสติ”
เพื่อเรียนรู้จากพระสงฆ์ที่เปี่ยมด้วยเมตตา และไม่ลืมว่า ศาสนาพุทธเดินทางมาถึงมือเราก็เพราะพระสงฆ์เป็นผู้แบกมา
บางที การรักษาศาสนา อาจไม่ได้หมายถึงการปกป้องคนใดคนหนึ่ง
แต่อาจเริ่มจากการรู้คุณในสิ่งที่เรายังมี และ “ศรัทธาอย่างมีปัญญา” ในสิ่งที่ควรดำรงไว้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น