มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเรื่องอาหารไทย(ขนมหวาน) ชุมชนวัดใหญ่บ้านบ่อ อำเภอเมืองสมุทรสาคร
สืบเนื่องจากการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกิจการสภาวัฒนธรรมสมุทรสาครได้แต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการจัดเก็บข้อมูลภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมขนมหวานประเภทฝอยทอง ทองหยอด ขนมหม้อแกง ที่ชุมชนวัดใหญ่บ้านบ่อ ตำบลบ้านบ่อ อำเภอเมืองสมุทรสาคร
นายเอกชัย เฮ้งเจริญสุข ประธาน ได้ลงพื้นที่พร้อมกับคุณะทำงานประกอบด้วย นายประสิทธิ์ จุุ่นขจร นายสุทัศน์ ตระกูลบางคล้า นายบุญชอบ สาธร ทั้งนี้มีดนายปราโมทย์ ชาวเมืองโขง วัฒนธรรมจังหวัด นางสาวกษิญาภรณ์ สร้อยทอง ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมฯ และข้าราชการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมลงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลประเพณีการทำบุญขนมหวานที่วัดใหญ่บ้านบ่อ ตำบลบ้านบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครด้วย เนื่องจากชุมชนตำบลบ้านบ่อยังมีการทำขนมหวานประเภททองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง และอื่น ๆ จำหน่าย โดยเฉพาะงานประจำปีวัดใหญ่บ้านบ่อทุกปี ประชาชนในชุมชนจะร่วมมือกันทำขนมหวานจำหน่ายนำเงินบำรุงวัดติดต่อกันมานับสิบปีจนกลายเป็นประเพณี โดยงานประจำปี ๒๕๖๘ จำหน่ายขนมหวานได้เงินถึง ๕๗๕,๗๔๐ บาท ในวันที่ลงจัดเก็บข้อมูลมีผู้สืบทอดประเพณีในชุมชนมาสาธิตให้ดูกระบวนการทำได้แก่ นางสาวสายพิณ แก้วจุนันท์ และนางนวลอนงค์ สำเภาทอง
ผู้เขียนได้ค้นประวัติพบว่าขนมหวานประเภทดังกล่าว มีกำเนิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) โดย "ท้าวมารีอา กียูมาร์ ดิปิญา" คนไทยเรียกท่านว่า "ท้าวทองกีบม้า" ภรรยาของพระยาวิไชเยนทร (คอนสแตนติน ฟอนคอล ชาวกรีกที่เข้ามารับราชการในราชสำนัก) ท้าวทองกีบม้าเกิดในพระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๗ เป็นลูกครึ่งโปรตุเกส - ญี่ปุ่น ที่เข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา รับราชการในราชสำนักในตำแหน่งหัวหน้าเครื่องต้นวิเสท (ผู้ทำอาหารถวายในหลวง) ประเภทของหวาน ได้นำวัตถุดิบของไทยเช่นน้ำตาล ใข่เป็ด นำมาทำเป็นขนมฝอยทอง ทองหยอด ขนมหม้อแกง ทองหยิบ ทองพลุ สังขยา โดยดัดแปลงมาจากขนมโปรตุเกส
"ท้าว" หรือคุณท้าวเป็นตำแหน่งในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มี ๔ ระดับคือ คุณท้าว คุณเฒ่าแก่ จ่า และโขลน สตรีที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ที่ได้รับบรรดาศักดิ์คุณท้าวคือท้าวเทพกษัตรี ท้าวศรีสุนทร และท้าวสุรนารี
สำหรับวัดใหญ่บ้านบ่อเป็นวัดเก่า อยู่หมู่ที่ ๓ บ้านคลองหลวง ตำบลบ้านบ่อ อำเภอเมืองสมุทรสาคร สร้างขึ้นราว พ.ศ ๒๒๖๙ เดิมอาสนะและกุฏิสงฆ์ปลูกสร้างใกล้ตลิ่ง จึงได้มีการย้ายกุฏิและเสนาสนะไปปลูกใหม่ห่างจากที่เดิมประมาณ ๒ เส้นได้แก่ กุฏิสงฆ์ ๑๕ หลัง หอสวดมนต์ ๑ หลัง หอฉัน ๑ หลัง เสนาสนะที่สร้างขึ้นใหม่นี้มีพื้นไม้เป็นทางเดินติดต่อถึงกันหมด ต่อมาเสนาสนะได้ชำรุดเป็นส่วนมาก พระเทพสาครมุนี (หลวงปู่แก้ว) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร ได้เห็นความชำรุดทรุดโทรมจึงได้วางแบบแปลนสร้างใหม่ ให้รื้อของเก่าซึ่งเป็นตัวไม้มุงด้วยจากบ้าง มุงกระเบื้องบ้าง แล้วสร้างเป็นกุฎีทรงปั้นหยา ก่ออิฐถือปูนเสริมเหล็กทั้งหมด
เมื่อพระประสาทศีลคุณ (ทองย้อย ปาสาทิโก) เจ้าอาวาสรูปที่ ๘ ชราภาพมากคณะสงฆ์จึงได้มอบให้พระปลัดสำราญ สัปปุญโญ และนายบุญช่วย สาทร ไวยาวัจกร ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ทุกประการ นายบุญช่วย นางปั้น สาธร นอกจากเป็นไวยาวัจกรแล้วยังบริจาคที่ดินให้วัดก่อสร้างเสนาสนะอีก ๘ ไร่ ๓ งานเศษ วัดจึงมีเนื้อที่รวม ๖๘ ไร่ ๒ งาน ๘๐ ตารางวา ต่อมาพระปราสาทศีลคุณ ได้มรภาพลงพระปลัดสำราญจึงได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อมาโดยได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูสาครวิริยาภรณ์
วัดใหญ่บ้านบ่อมีปูชนียวัตถุที่สำคัญได้แก่ อุโบสถเก่าอาคารก่ออิฐถือปูนทรงไทยหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลด ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ ตับ ด้านหน้าด้านหลังมีพาไลยื่นออกมา มีเสาปูนกลมรองรับ ช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ปูนปั้นเป็นไม้ ประดับกระจก ชายคาพาไลด้านข้างมีใบระกาและหางหงส์ประดับทั้ง ๒ ด้าน หน้าบันลวดลายปูนปั้นทาสีแบ่งออกเป็น ๒ ชั้น ชั้นบนเป็นลายเทพพนมด้านข้างประดับด้วยลวดลายก้านขด ชั้นล่างเป็นลายนกยูงคู่ประดับด้วยลายดอกไม้คล้ายลายดอกโบตั๋น มีอักษรระบุ "สังขรณ์ใหม่ พ.ศ ๒๔๓๒"
ผนังอุโบสถก่ออิฐถือปูน ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มหน้านางตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นประดับกระจกสีโดยมีหน้าต่างด้านละ ๓ บาน มีประตูด้านหน้า - หลังด้านละ ๒ ประตู บานหน้าต่างเป็นไม้ทาสีแดง บานประตูไม้เขียนลวดลายเทพพนมพนมและพุทธประวัติตอนต่าง ๆ ผนังหน้าอุโบสถมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางป่าเลไลก์ ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ประชาชนนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด เมื่อถึงเทศกาลงานประจำปีได้มีสาธุชนปิดทองกันจำนวนมาก แม้ในยามปกติยามทุกข์ร้อนต่าง ๆ ก็จุดเทียนบอกกล่าวให้ท่านช่วยปัดเป่าเภทภัยให้พ้นไป โดยรอบพระอุโบสถมีกำแพงแก้วก่ออิฐถือปูนเตี้ย ๆ ล้อมรอบ ซุ้มประตูทางเข้าเป็นซุ้มประตูไม้มีหลังคาซุ้มเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง จากรูปแบบสถาปัตยกรรมสันนิษฐานว่าอุโบสถหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาและได้รับการบูรณะซ่อมแซมหลายครั้งเช่น พ.ศ ๒๔๗๒ เป็นต้น ภายในกำแพงแก้วมีเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่หลายองค์ มีหลวงพ่อป่าเลไลย์อยู่หน้าโบสถ์ ภายในมีพระประธานที่สวยงาม มีพระมหาโมคคัลลานะและพระปัญจวัคคีย์ ๕ องค์ หน้าบันอุโบสถระบุว่าซ่อมเมื่อ พ.ศ ๒๔๗๒ และซ่อมมุมกระเบื้องซุ้มประตูใหม่ พ.ศ ๒๕๑๒ ต่อมาพ่อเล็ก แม่หมา โพธิ์บุญ พ่อบุญส่ง แม่ทองคำ ทองมาก มาสร้างพาไลด้านหน้าและด้านหลังพร้อมปูหินอ่อนเป็นเงิน ๕๕๐,๐๐๐ บาท
รายนามเจ้าอาวาสทั้งในอดีตถึงปัจจุบัน
๑. หลวงพ่อเส็ง
๒. หลวงพ่อปั้น
๓. หลวงพ่อแจ้
๔. หลวงพ่อคง
๕. หลวงพ่อโต
๖. พระครูนี๊ด
๗. พระครูเทศฉายาชัยยะ
๘. พระประสาทศีลคุณทองย้อย
๙. พระครูสาครวิริยาภรณ์ (สำราญสัปปุญโญ)
๑๐. พระครูสมุห์ประสงค์ ญาณธีโร (มณีสอดแสง)
ปรีชา ฐินากร มิถุนายน ๒๕๖๘
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น