pearleus

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

***ร้อยเอ็ดปลอดภัย ร่วมแรงร่วมใจ กำจัดขยะอันตรายในชุมชน"***

เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2558 เวลา10:30น. ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด  จังหวัดร้อยเอ็ด ภายใต้ Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) องค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 12 อุบลราชธานี สำนักงานเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เปิดตัวโครงการ "ร้อยเอ็ดปลอดภัย ร่วมแรงร่วมใจ กำจัดขยะอันตรายชุมชน" และจัดกิจกรรมรณรงค์การจัดการขยะอันตรายชุมชนจังหวัดร้อยเอ็ด  
   นำโดย นายทรงพล ใจกริ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานเปิดโครงการฯ 
    เพื่อการกำจัดขยะอันตรายที่ตกค้างในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยการรวบรวมและนำส่งโดยบริษัทเอกชนไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลัก เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของมลพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด
   โดยขยะที่ทำการรวบรวมในวันนี้ มี 3 ประเภท ได้แก่ 
1.หลอดไฟ
2.แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย 
3.ภาชนะบรรจุสารเคมี(ที่แห้ง) รวมกันได้น้ำหนักรวม 4 ตัน 
ซึ่งขยะทั้ง 3 ประเภทนี้ สามารถพบได้ทั่วไปตามอาคารบ้านเรือน สถานที่ทำงาน สถานศึกษา เป็นต้น
   ได้อาศัยความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 203 แห่ง รวมไปถึงสถานศึกษา ส่วนราชการต่างๆ สถานประกอบการเอกชนและผู้ที่สนใจ ในการรวบรวมขยะอันตรายชุมชนที่มีอยู่ในพื้นที่หรือในสำนักงานเพื่อนำส่งไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และได้รับการสนับสนุนการจัดสถานที่จากเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด รวมถึงการจัดนิทรรศการด้านการจัดการขยะอันตรายชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการจาก สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดร้อยเอ็ด มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 12 อุบลราชธานี และ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
รายงานข่าวโดย เดช นาคราช/ร้อยเอ็ด










วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แถลงข่าวจ้างวานฆ่าโหด “เภสัชกร”ว่าที่ลูกสะใภ้

 เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2558  พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป. พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ ผกก.บก.ป. พ.ต.ท.ธราดล เหมพัฒน์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.บก.ป.แถลงข่าวจับกุม นายสมโภชน์ นวลพรหม อายุ 49 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.นากระตาม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร , นางกัสมา สังข์สม หรือทองสุข อายุ 52 ปี เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ต.นากระตาม อ.ท่าแซะ , นายสุรัตน์ คลี่บำรุง หรืออดีตพระมหาสุรัตน์ สุรเมธี อายุ 42 ปี , นางนิจยา นวลพรหม อายุ 46 ปี และนายจรินทร์ หญีตป้อม อายุ 38 ปี อาสาสมัครกู้ภัย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา
                พร้อมกับรับมอบตัว น.ส.รัศมี จันทร์งาม อายุ 39 ปี และ น.ส.กรรฑิรา จันทร์งาม อายุ 44 ปี สองพี่น้อง บุตรสาวนางจุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน , ร่วมกันทำใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎรโดยมิชอบ , ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน โดย น.ส.รัศมี ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหา เบิกความอันเป็นเท็จ และนำสืบหรือแสดงเอกสารอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา
                ทั้งนี้ สืบเนื่องจากผู้ต้องหาทั้งหมดได้ร่วมกันช่วยเหลือ นางจุรี จันทร์งาม อายุ 72 ปี ผู้ต้องหาคดีใช้จ้างวานฆ่าผู้อื่น หลังจากว่าจ้างมือปืนให้สังหารโหด น.ส.ริ้วแพร โชติการ อายุ 26 ปี เภสัชกรโรงพยาบาลควนเนียง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ 3 เดือน สาเหตุเพราะต้องการกีดกัน ไม่ยินยอมให้ นายวิกรม จันทร์งาม อายุ 36 ปี บุตรชายได้แต่งงานกับ น.ส.ริ้วแพร ว่าที่ลูกสะใภ้ เหตุเกิดที่คลีนิกเวชกรรมใน อ.ควนเนียง จ.สงขลา เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550
                ต่อมาเจ้าหน้าที่จับกุมสองมือปืนและ นางจุรี ส่งตัวดำเนินคดีในชั้นศาล ซึ่งระหว่างที่คดีอยู่ในชั้นฎีกา นางจุรี ได้ขอประกันตัวออกมา ก่อนที่ น.ส.รัศมี จะเข้ายื่นคำร้องต่อศาล ว่า นางจุรี เสียชีวิตแล้วจะขอคืนเงินประกัน มีการใช้เอกสารใบมรณบัตรที่ออกโดยฝ่ายปกครองมาแสดงเป็นหลักฐาน แต่ภายหลังศาลไม่เชื่อและมีการไต่สวนกรณีการเสียชีวิต จนเป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยรายนี้ยังมีชีวิตอยู่ และเจตนาหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา จึงสั่งปรับนายประกันและออกหมายจับจำเลยไว้ กระทั่งนางจุรี ทนแรงกดดันไม่ไหวติดต่อเข้ามอบตัวที่ บก.ป.จากนั้นชุดสืบสวนได้ขยายผลไปยังผู้ร่วมกระทำผิดกรณีออกใบมรณบัตรโดยมิชอบ จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 7 รายดังกล่าว
                ด้าน น.ส.รัศมี ให้การว่า เรื่องราวทั้งหมดตนเป็นคนคิดแผนการขึ้นเองเพราะต้องการช่วยเหลือมารดาที่ต้องโทษ ไม่มีใครร่วมกระทำผิด แต่ที่ทำไปเพราะมารดาถูกใส่ร้าย อย่างไรก็ดี ทางพนักงานสอบสวนได้พิจารณาดำเนินคดีเพิ่มเติมกับนางจุรี อีก 3 ข้อหา โดยขณะนี้นางจุรี รับโทษอยู่ในเรือนจำสงขลา ตามคำพิพากษาศาล


ตำรวจ-ทหาร-ปกครองบุรีรัมย์ จับยาบ้ากว่าครึ่งแสนเม็ด

***ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ,ตชด. และฝ่ายปกครอง สกัดจับเครือข่ายยาเสพติด ที่ลักลอบเดินทางข้ามจังหวัดใช้รถกระบะขับเคลียเส้นทาง ก่อนควบเก๋งซุกยาบ้าได้กว่า 50,000 เม็ด และยาไอซ์อีกจำนวนหนึ่ง ขณะเตรียมนำส่งลูกค้าในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ และ จ.นครราชสีมา ด้านเจ้าหน้าที่เร่งสอบสวนขยายผลติดตามหาเครือข่ายพร้อมยึดอายัดทรัพย์ไว้ตรวจสอบหลายรายการ
*** บุรีรัมย์ เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 27 พ.ย.58 นายเสรี ศรีหะไตร ผู้ว่าฯบรีรัมย์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ,พ.ต.อ.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล รอง ผบก.ฯ พ.ต.ท.รัฐพล ป้องกัน หัวหน้า ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ พ.ต.ต.นิวัฒน์ อาทวัง รองหัวหน้าฯ ร่วมกันแถลงข่าวผลงาน ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ ที่ได้สนธิกำลังร่วมกับหน่วยข่าวกรองทหาร สนับสนุนกองกำลังสุรนารี , ชุดต่อต้านข่าวกรอง กองทัพภาคที่ 2 , ตชด.215(นางรอง) ,สภ.นางรอง, ร้อย อส.จ.บุรีรัมย์ กว่า 20 นาย วางแผนจับกุมแก๊งค้ายาเสพติด หลังสืบทราบว่าจะมีการขนยาเสพติดจำนวนมาก มาจาก จ.อุบลราชธานี เพื่อนำมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ,จ.สุรินทร์ และ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 26 พ.ย.58 ที่ผ่านมา
*** กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. วันที่ 26 พ.ย.58 พบรถยนต์ต้องสงสัยเป็นรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีน้ำตาล เลขทะเบียน กม 8125 อุบลราชธานี ขับอยู่บนถนนสาย 24 โชคชัย-เดชอุดม มุ่งหน้าเข้ามาในพื้นที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองบุรีรัมย์ โดยมีนายมงคล หรือโอเล่ กระจิการ อายุ 35 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี ตำแหน่งครูอัตราจ้าง กศน.แห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี เป็นผู้ขับขี่เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตาม เมื่อรถคันดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่ติดตาม จึงเร่งขับหลบหนีความเร็วสูง เพื่อหลบหนีการติดตามของเจ้าหน้าที่ เมื่อมาถึงบริเวณหน้า รพ.สต.บ้านบัว ต.บ้านบัว อ.เมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเขตชุมชนเจ้าหน้าที่เกรงจะเกิดอันตรายกับประชาชน และผู้สัญจรบนถนน เจ้าหน้าที่จึงเร่งติดตาม และสามารถสกัดจับรถกระบะคันดังกล่าวได้ ก่อนควบคุมมาสอบสวนขยายผล
***นายมงคล ให้การรับสารภาพว่า ตนเดินทางมาพร้อมกับพวกอีก 2 คน ใช้รถเก๋ง ยี่ห้อซูซูกิสวิฟ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2 กภ 2276 กรุงเทพมหานคร นำยาบ้าและยาไอซ์มาส่งให้กับลูกค้าในจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ ตามคำสั่งของเอเย่นต์รายใหญ่ ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยตนเป็นคนขับรถนำทางเพื่อเคลียเส้นทางหลบหนี การจับกุมของเจ้าหน้าที่ และได้โทรศัพท์ติดต่อกันกับพวกระหว่างเส้นทาง ว่าถูกตำรวจไล่ล่า ขอให้หลบหนีไปก่อน
 ***จากนั้นเวลาประมาณ 17.30 น. วันที่ 26 พ.ย.58 เจ้าหน้าที่จึงเร่งกระจายกำลังติดตามรถเก๋ง และพบจอดอยู่ในห้องพักหมายเลข 1 ปุณณดารีสอร์ท ต.นางรองอ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ สอบถามผู้ดูแลรีสอร์ท ทราบว่ามีนายคติพจน์ หรืออ๊อฟ  กาญจนพันธ์ อายุ 28 ปี กับนายสุริยา หรือจิ๋ว นามประภา อายุ 30 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี เป็นผู้ติดต่อขอเปิดห้องพัก เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอเข้าทำการตรวจค้นหาสิ่งผิดกฎหมาย พบนายคติพจน์ กับนายสุริยา ซึ่งเป็นผู้ขับขี่และนั่งโดยสารมากับรถเก๋งคันดังกล่าว อยู่ในห้องพักเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทั้งสองแสดงอาการตกใจ และพูดจาวกไปวนมา ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับนายมงคล ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งไม่ได้ขนย้ายยาเสพติดแต่อย่างใด กระทั่งเจ้าหน้าที่พบหลักฐานการใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน ระหว่างเส้นทางและสมุดบัญชีรายชื่อเครือข่ายยาบ้า ทำให้ผู้ต้องหาจนมุมยอมรับสารภาพ และยอมนำไปเอายาบ้าและยาไอซ์ที่ซุกซ่อนไว้ในป่าฝั่งตรงข้ามฟาร์มหมู  ซอยเข้าหมู่บ้านหนองโคลน ต.บ้านบัว อ.เมืองบุรีรัมย์
*** เมื่อไปถึงเวลาประมาณ 20.30 น. วันที่ 26 พ.ย. 58 พบถุงปุ๋ยขนาดใหญ่สีฟ้ามีตัวอักษรสีน้ำเงิน เขียนเป็นภาษาลาว อยู่ด้านบนกระสอบ ตรวจสอบภายในพบยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้า พันทับด้วยเทปพันสายไฟสีดำ นับได้ 27 มัด รวมจำนวน 53,828 เม็ด ยาไอซ์2 ถุงเล็กน้ำหนักรวม 12.88 กรัม เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาไปทำการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมและตรวจค้นอย่างละเอียด ก่อนจะตรวจยึดและอายัด โทรศัพท์มือถือจำนวน 5 เครื่อง บัตรเอ.ที.เอ็ม สมุดบัญชีธนาคารมียอดเงินในบัญชีจำนวนหนึ่ง รถยนต์ 2 คันไว้ทำการตรวจสอบ
 ***สอบสวนผู้ต้องหาทั้งสอง ให้การรับสารภาพว่า นายสุริยา หรือจิ่ว นามประภา เพิ่งจบการศึกษาเอกวิศวะคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคอีสาน และมีอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เคยติดคุกคดียาเสพติดและพ้นโทษออกมาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พร้อมด้วย นายคติพจน์ หรืออ๊อฟ กาญจนพันธ์เป็นครูอัตราจ้าง กศน.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ได้รับการว่าจ้างจากนายยศ ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ให้รับยาบ้าและยาไอซ์ไปส่งให้กับลูกค้าในจังหวัดบุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ และ จ.นครราชสีมา โดยนายยศจะนำยาบ้าไปรออยู่ที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 10 อ.เมืองอุบลราชธานี ตกลงค่าจ้างกันเที่ยวละ 30,000 บาท โดยให้นายมงคล หรือโอเล่ เป็นคนขับรถนำทาง ป้องกันการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งเข้าเขต อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ นายอ๊อฟได้รับโทรศัพท์จากนายโอเล่ ว่ากำลังถูกติดตาม นายจิ๋ว ซึ่งเป็นคนขับรถเก๋ง ขนยาเสพติดอยู่ในขณะนั้นได้ขับรถหลบหนีเส้นทางเข้าไปในเขต อ.หนองกี่ และอีกหลายอำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนจะนำยาบ้าไปซุกไว้ในพงหญ้าข้างทางในพื้นที่ ต.บ้านบัว อ.เมืองบุรีรัมย์ และกลับมาเปิดห้องพักในอำเภอนางรอง กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุม
*** นายจิ๋ว ยังสารภาพอีกว่าตนทำมาแล้ว 3 ครั้ง ต้องการหาเงิน 1 แสนบาท ไว้เป็นทุนในการทำงานรับเหมาก่อสร้าง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายนำตัวสอบสวนขยายผล หาผู้ร่วมขบวนการเพื่อติดตามหาต้นตอของเอเย่นต์จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาส่งดำเนินคดีต่อไป

*** ด้าน ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ กล่าวว่า ผลงานดังกล่าวเป็นการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ที่ได้มีการเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมของเครือข่ายยาเสพติด ทั้งกลุ่มผู้เสพและผู้ค้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการออกสืบสวนหาข่าวกระทั่งได้ข้อมูลของผู้กระทำความผิดจนแน่ชัด ก่อนจะร่วมกันวางแผนจับกุมได้ดังกล่าว ซึ่งทถกครั้งที่ปฎิบัติหน้าที่ตนได้กำชับให้ผู้ปฎิบัติงานทุกนาย ทำงานด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวผู้ปฎิบัติเอง และประชาชนด้วย

สืบจังหวัดรวบหนุ่มเมียนมาร์ เครือข่ายเอเย่นต์ยาบ้า

เมื่อเวลา 13.00น.วันที่ 27 พ.ย.58 เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้การสั่งการของ พ.ต.อ.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ ผกก.สสฯ พ.ต.ท.นนท์ ภักดีพันธ์ รอง ผกก.สสฯ พ.ต.ท.รณกร ประคองศรี รอง ผกก.สส.ฯ พ.ต.ท.พีระ อัศวะพิบูลย์ผล สว.กก.สส.สั่งการให้ พ.ต.ต.ไชยภูมิ ฉลองภูมิ สว.กก.สสฯร.ต.อ.อภิสิทธิ์ ศักดิ์ชัยยันต์ รอง สว.กก.สสฯ ร.ต.ท.รหัท สมานจิต รองสว.กก.สสฯร.ต.ท.เลิศชาย แผนสนิท รอง สว.กก.สสฯ ร.ต.ท.สุภาพ บัวประสม รอง สว.กกสสฯ พร้อมกับชุด ปส.1 ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายเลนไท อายุ 20 ปี (ชาวพม่า)พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 50 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในถุงพลาสติกกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านซ้ายขณะกำลังเอาไป แบ่งขายลูกค้ากลุ่มชาวพม่าผู้ใช้แรงงานในพื้น ที่ ต.ท่าฉลอมฯโดยกล่าวหาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภทที่1(ยาบ้า)ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย   โดยรับยาบ้ามาจากชายชาวพม่าเหมือนกันไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ติดต่อไม่ได้ นำตัวพร้อมของกลางส่ง พงส. สภ.ท่าฉลอม ดำเนินคดีต่อไป.

เงาพญาราหู รายงาน.

ชี้แจงผู้ประกอบการล้งให้ความรู้เรื่อง "การค้ามนุษย์"กฎหมายร้ายแรง

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 27 พ.ย. 58 ที่ห้องประชุมชั้น 3 ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร โดยมี พ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร เป็นประธานนำเสนอผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย พ.ต.อ.นฤพนธ์ ธนกฤตานนท์ ผกก.สบ.4 ผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการนายตำรวจสัญญาบัตรหน่วยบริการประชาชนในพื้นที่  พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนสำนักงานอัยการจังหวัดและอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร มาร่วมบรรยายให้ความรู้แก่นายจ้างเจ้าของสถานประกอบการ ล้งกุ้ง ล้งปลา จำนวน 111 แห่ง ที่มีลูกจ้างทำงานในเขตอำเภอเมืองสมุทรสาคร เกี่ยวกับปัญหาการป้องกันการ ค้ามนุษย์ ในสถานประกอบการที่มีแรงงานและว่าด้วยเรื่องของกฎหมายใหม่ที่มีอัตราโทษร้ายแรง เพื่อทำความเข้าใจชี้แจงนายจ้างที่มีแรงงานอาจสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาไม่รู้ไม่เข้าใจ อาทิ การยึดบัตร เอกสารหรือหนังสือเดินทางของแรงงานต่างด้าว การบังคับแรงงานลูกจ้างไม่ให้ออกจากสถานประกอบการที่ไม่มีเสรีภาพ ข่มขู่คุกคามทำร้ายร่างกายหรือจิตใจซึ่งเป็นการข่มขืนใจหรือกักบริเวณบังคับให้ทำงานล่วงเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยไม่จ่ายค่าจ้าง อาจจะเข้าฐานความผิดของการ ค้ามนุษย์ เพื่อให้ความรู้ขั้นพื้นฐานกับนายจ้างเจ้าของสถานประกอบการนำไปแก้ไขปัญหาสุ่มเสี่ยง ในส่วนของ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยเรื่องของการบังคับใช้แรงงานที่เป็น เหยื่อ การจ้างแรงงาน การคุ้มครองสถานรองรับเหยื่อ บำบัดฟื้นฟูจิตใจ การส่งกลับประเทศต้นทาง ส่วนอุตสาหกรรมให้ความรู้ด้านการติดตั้งเครื่องจักรประเภท ล้ง อยู่ในโรงงานจำพวก 2 หรือ3 ถ้าไม่มีใบอนุญาตโทษจำคุกและปรับ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการบำบัดน้ำเสียในสถานประกอบการ นอกจากนี้ผู้ดำเนินการประชุม พ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผกก. ยังได้เล่าเหตุการณ์ที่ต้องประสบปัญหาการร้องเรียนเรื่องของ การค้ามนุษย์ เช่นการกักขังบังคับ หน่วงเหนี่ยวกักขังการใช้แรงาน การทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน อัตราค่าจ้าง 300 บาท และการให้ใช้แรงงานตั้งแต่ 15-18 มีสิทธิทำบัตรได้แต่ถ้าต่ำกว่า 14 ปี ต้องคัดกรองออกอย่าให้มาอยู่ในสถานประกอบการโดยเด็ดขาด ส่วนเรื่องของที่พักไม่ควรอยู่ในสถานประกอบการอาจเข้าข่าย การค้ามนุษย์ ก็เป็นได้.

 เงาพญาราหู รายงาน











วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
นายจรินทร์ จักกะพาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า       กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะดำเนินการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการใน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ตำแหน่งนักส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปฏิบัติการ ผู้สมัครจะต้องได้รับวุฒิปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชารัฐศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ หรือสาขาวิชานิติศาสตร์ ตำแหน่งนิติกรปฏิบัติการ ผู้สมัครจะต้องได้รับวุฒิปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชานิติศาสตร์ และตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ ผู้สมัครจะต้องได้รับวุฒิปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้  ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาบริหารธุรกิจ หรือสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยัง  ไม่ผ่านการทดสอบภาคความรู้ความสามารถทั่วไปของสำนักงาน ก.พ. (ภาค ก.) สามารถสมัครสอบแข่งขันได้ และเมื่อผ่านการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่งแล้ว จึงจะมีสิทธิสมัครสอบภาค ก. พิเศษ ที่ ก.พ.     จะกำหนดให้ดำเนินการช่วงประมาณเดือน มีนาคม 2559 โดยผู้สอบแข่งขันได้จะได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่เป็นตำแหน่งว่างในราชการส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด
ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ทางเว็บไซต์ http://www.dla.go.th หัวข้อ “สอบแข่งขันเพื่อบรรจุเข้ารับราชการ” หรือเว็บไซต์ http://dla.job.thai.com หัวข้อ “ใบสมัครออนไลน์” ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะประกาศรายชื่อผู้สมัครสอบ วัน เวลา สถานที่สอบ และระเบียบเกี่ยวกับการสอบ ในวันที่ 8 มกราคม 2559 ต่อไป

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะดำเนินการสอบแข่งขันด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และเสมอภาค ดังนั้น หากมีผู้ใดแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้ได้รับการขึ้นบัญชี หรือมีพฤติการณ์ในทำนองเดียวกันนี้          โปรดอย่าได้หลงเชื่อ และแจ้งให้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทราบด้วย

มท. ร่วมแถลงข่าวจัดงานฯ 5ธันวา

มหาดไทยร่วมแถลงข่าวการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558
เมื่อ 27 พ.ย. 58 ณ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ นายสุทธิพงษ์  จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในนามคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมด้านศาสนาฯ ร่วมแถลงข่าวการจัดกิจกรรมด้านศาสนาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ประกอบด้วย สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมประชาสัมพันธ์
         ในโอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าวในส่วนภูมิภาคโดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมด้านศาสนาเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
         และในวันนี้ ตนในฐานะผู้แทนของกระทรวงมหาดไทย และในนามคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมด้านศาสนาฯ  ขอเรียนว่า ในขณะนี้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดรูปแบบการจัดกิจกรรมด้านศาสนาเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ไว้ 5 ด้าน มีรายละเอียด ดังนี้ 1) พิธีถวายพระพรชัยมงคลของ 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู และซิกซ์ กำหนดจัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเชิญผู้แทนศาสนามาร่วมพิธีถวายพระพรชัยมงคล โดยส่วนกลางจัดพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยกรมการศาสนา มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ และในส่วนภูมิภาคจัดพิธี ณ สถานที่ตามที่จังหวัดพิจารณาเห็นว่าเหมาะสม โดยให้ทุกจังหวัดเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ 2) พิธีอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล โดยส่วนกลางกำหนดจัดพิธีอุปสมบทฯ จำนวน 89 รูป ระหว่างวันที่ 1 - 6 ธันวาคม 2558 ณ วัดยานนาวา รับผิดชอบโดยมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช และโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ของบุคลากรในสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน 90 รูป ระหว่างวันที่ 1 - 18 ธันวาคม 2558 ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก สำหรับส่วนภูมิภาคให้จังหวัดเชิญชวนข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนเข้าร่วมพิธีอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นระยะเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 1 - 15 ธันวาคม 2558 3) พิธีทำบุญตักบาตร เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ร่วมแสดงความความกตัญญูกตเวที น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดีถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพร้อมเพรียงกัน สำหรับในประเทศ ส่วนกลางจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 199 รูป โดยกราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี และมีคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง/ระดับกรม/รัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร องค์กรต่างๆ และประชาชนร่วมทำบุญตักบาตร ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยกรุงเทพมหานคร ร่วมกับกรมการศาสนา มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ และในส่วนภูมิภาค ให้ทุกจังหวัดจัดพิธีทำบุญตักบาตร ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่จังหวัดกำหนด สำหรับในต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยประจำประเทศต่างๆ เชิญชวนคนไทยร่วมทำบุญตักบาตร

4) การสวดมนต์และปฏิบัติธรรมข้ามคืน โดยกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด จะพิจารณาสถานที่ที่เห็นว่าเหมาะสม และเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าร่วมในการปฏิบัติธรรมข้ามคืนในวันที่ 5 ธันวาคม 2558 นอกจากนี้กรมการศาสนายังได้จัดพิธีสมโภชพระธาตุเจดีย์ และเจริญพระพุทธมนต์เนื่องด้วยนพเคราะห์/นวัคคหายุสมธัมม์ ระหว่างวันที่ 
1 - 6 ธันวาคม 2558 จำนวน 99 วัด โดยจัดในส่วนกลาง 18 วัด และส่วนภูมิภาค 81 วัด 5) การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับส่วนกลาง ได้อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ พระพุทธชยันตี องค์ดำนาลันทา และพระพุทธชยันตี องค์ขาวนาลันทา มาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อให้ประชาชนได้มากราบไหว้สักการะ และในส่วนภูมิภาค ให้จังหวัดขอความร่วมมือจากทุกวัดเปิดพระอุโบสถ หรือจากผู้นำศาสนาอื่นๆ เปิดศาสนสถานสำคัญ ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2558 เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้สักการะขอพร และร่วมลงนามในสมุดบันทึกเพื่อถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดกิจกรรมการกุศลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันจัดทำกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เช่น การบริจาคโลหิต การไถ่ชีวิตโค-กระบือ การเยี่ยมผู้ป่วยยากไร้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล การปลูกป่า และการปล่อยปลา เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบอย่างกว้างขวาง และทั่วถึง รวมทั้งได้แจ้งให้ทุกจังหวัดจัดงานให้เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ สอดคล้องกับการจัดงานในส่วนกลาง เน้นการมีส่วนร่วมและบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ และในโอกาสมหามงคลนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงขอเชิญชวนข้าราชการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมแสดงความจงรักภักดี โดยร่วมในพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล และร่วมในพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล โดยพร้อมเพรียงกันในวันที่ 5 ธันวาคม 2558 รวมทั้งขอเชิญชวนหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ได้ร่วมประดับธงชาติไทย ธงตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ และพระบรมฉายาลักษณ์ ตามอาคารสถานที่ของหน่วยงาน และเคหะสถานของประชาชนตลอดเดือนธันวาคม 2558 นี้


สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จ.สมุทรสงครามมอบเงินโครงการอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงเด็กแรกเกิด

เมื่อ 26 พ.ย. 58 ที่ห้องประชุมแม่กลองชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม ก่อนเข้าวาระการประชุมคณะกรมการประจำเดือนพฤศจิกายน 2558 นางสาวจิตรา  พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ได้มอบเงินโครงการอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงเด็กแรกเกิด จำนวน 4 ราย

          จังหวัดสมุทรสงครามร่วมกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรสงคราม ได้ดำเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ตามนโยบายของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมีผู้ได้รับสิทธิ์เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็ก จำนวน 4 ราย โดยผ่านการปิดประกาศจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นระยะเวลา 15 วันทำการ โดยไม่มีผู้คัดค้าน ได้แก่ 1. ด.ญ.ธรภรณ์  ดามะนา (น้องทิว) เกิด 1 ตุลาคม 2558, 2. ด.ญ.จิตรา  อำนวยการณ์ (น้องโบ) เกิด 8 ตาคม 2558, 3. ด.ญ.รินรดา  พรสยม (น้องกัสจัง) เกิด 14 ตุลาคม 2558 และ ด.ช.วณิชากร  อุตะมะโยธิน (น้องภูมิ) เกิด 31 ตุลาคม 2558 โดยได้รับเงินเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจำนวน 400 บาท ต่อคนต่อเดือน จำนวน 12 เดือน

จับวัยรุ่นล้างบัญชีโหดฟันคู่อริดับวันลอยกระทง

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 26 พ.ย.58 ที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ขั้น 4 พ.ต.อ. ชัยยุทธ ถมยา ผกก.เมืองสมุทรสาคร เมืองสมุทรสาคร พร้อมด้วย พ.ต.ท.มโนช จันทร์เที่ยง รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.พงษ์ศิริ เก่งนอก สว.สส.และ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ. เมืองสมุทรสาคร ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย ประกอบด้วย นายอัศวินหรืออาร์ต ชีวธนาสุนทรกุล อายุ 19 ปีอยู่บ้านเลขที่ 16 ซอยพระราม 2 ซอย 69 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ นายอมร หรือป๊อป แซ่เตียวอายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 216/3 ถนนพุทธบูชา แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ นายพิชิตชัยหรือจอร์น พรมช่วย อายุ 19 ปีอยู่บ้านเลขที่ 99/3 02 หมู่บ้านพิศาลซอย 10 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ และนายธนพร หรือติ๊ก จันทร์เทาว์ อายุ 18 ปีอยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 3 ตำบลน้ำพอง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น พร้อมของกลาง อาวุธมีดพร้าด้ามยาวสีดำยาวประมาณ 100 เซนติเมตรจำนวน 1 เล่มมีดพร้าเหล็กสีดำความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร 1 เล่มมีดดาบสีดำความยาวรวมด้ามประมาณ 75 เซนติเมตร 1 เล่ม มีดดาบสแตนเลส สีเงินความยาวรวมด้ามประมาณ 60 เซนติเมตร 1 เล่มมีดง้าวดำยาวสีดำ-เงินความยาวรวมด้ามประมาณ 90 เซนติเมตร 1 เล่ม โดยกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นและพกพาอาวุธมีดไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 20.20 น.วันที่ 25 พ.ย.58 ร.ต.ท.สุรชัย ศรีพิมพ์ลาม ร้อยเวร สภ.เมืองสมุทรสาคร รับแจ้งว่ามีผู้ถูกฟันเสียชีวิตเหตุเกิดบริเวณใกล้ป้ายรถประจำทางข้าง โรงเรียนสมุทรสาครบูรณะ(สคณ.) คลองทหารเรือ ถ.เศรษฐกิจ 1 ต.มหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร ห่างจากโรงพักประมาณ 100 เมตร จึงรายงานให้ พ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผกก.พ.ต.ท.สุทธิพงษ์ อ่อนละออ สวป.พ..ต.ต.วรรณชัย คงศาลา สว.เวรอำนวยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน  ทราบแล้วเดินทางไปยังที่เกิดเหตุพบเพียงกองเลือดและมีดดาบหัวตัด 2 เล่ม มีดแบบเคียวโค้งด้ามยาวอีก 1 เล่ม จึงทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ส่วนคนเจ็บทราบว่าเจ้าหน้าที่มูลนิธิการกุศลสมุทรสาครได้ช่วยปั้มหัวใจเบื้องต้นก่อนนำส่ง รพ.สมุทรสาครและเสียชีวิตในเวลาต่อมาคือ นายกันตภรณ์ หรือเจ ช่อแก้ว อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52/4 ซ.วัดทองธรรมมิการาม หมู่ที่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร  ถูกฟันด้วยมีตะขอแบบเคียวที่ศรีษะ หัวไหล่ซ้าย ข้อศอกขวาและนิ้วก้อยซ้ายฉีก เป็นแผลฉกรรจ์ทำให้เสียชีวิต

     จากการสอบสวนพยานผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าตนกับแฟนได้มาเที่ยวงานลอยกระทงบริเวณคลองทหารเรือระหว่างนั้นได้เห็นวัยรุ่นสองกลุ่มลักษณะเป็นคู่อริกันมาก่อนไม่น้อยกว่า 10 คนในมือมีมีดดาบแบบหัวตัดและมีดคล้ายเคียววิ่งเข้าทำร้ายกันขณะนั้นตนเห็นอีกฝ่ายวิ่งหนีเสียหลักล้มลงบนฟุตบาทใกล้ป้ายรถประจำทางข้างร้านขายเสื้อเป็นจังหวะเดียวกันได้มีวัยรุ่นแต่งกายสวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้น สีน้ำเงิน กางเกงยีนส์คู่อริใช้มีดตะขอและมีดโต้หัวตัดรุมฟันตามศรีษะร่างกายเลือดสดๆไหลทะลักท่วมร่างนอนจมกองเลือดส่วนกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทั้งสองฝ่ายต่างทิ้งมีดแต่บางคนก็ยังถือมีดอยู่ในมือวิ่งหลบหนีไปคนละทางสถานีตำรวจ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกตรวจพื้นที่รักษาความสงบบริเวณที่มีประชาชนมาลอยกระทงผ่านมาและเห็นเหตุการณ์ได้วิ่งไล่จับกุมผู้ต้องสงสัยไว้ได้ 2 คนเป็นวัยรุ่นต่างถิ่น จึงคุมตัวมาทำการสอบสวนก่อนขยายผลไปจับกุมผู้ร่วมก่อเหตุเพิ่มอีกก่อนนำตัวมาแถลงข่าวกับสื่อมวลขน ส่วนสาเหตุตามแนวทางการสืบสวนทราบว่าก่อนหน้าเพียงวันเดียวกันวัยรุ่นทั้งสองกลุ่มที่เป็นคู่อริไม่ถูกกันมา ก่อน เมื่อมาพบกันในงานประเพณีลอยกระทงจึงได้นำอาวุธที่เตรียมมาเข้าทำร้ายอีกฝ่ายจนเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายดังกล่าว. เงาพญาราหู รายงาน..

รมว.มท. เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ภาคกลาง 25 จังหวัด

เมื่อ 26 พ.ย. 58 เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พลเอก อนุพงษ์  เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ให้แก่ผู้ปกครองท้องที่ (กำนันและผู้ใหญ่บ้านของจังหวัดปทุมธานี) และผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ภาคกลาง 25 จังหวัด โดยภาคเช้าเป็นการมอบนโยบาย แก่ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคบ่ายจะเป็นการมอบนโยบายแก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
    ในภาคเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายแก่นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 4,002 คน จากท้องถิ่น 2,001 แห่ง 
   โดยกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย เป็นกระทรวงเดียวที่สามารถยึดโยงงานของรัฐบาลลงไปสู่ในพื้นที่ โดยมีกลไกของคนมหาดไทยในการทำงาน ในด้านความมั่นคง เรามีท้องที่ มีฝ่ายปกครอง 
     ด้านการพัฒนาความเจริญ เรามีท้องถิ่น มีอปท. ทุกรูปแบบ ดังนั้น ท่านทุกคนจึงมีความสำคัญที่จะนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การพัฒนาในพื้นที่ ซึ่งการที่เราจะมีประชาธิปไตยที่ดี เป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ การทำงานของท้องถิ่นจึงต้องใช้ทั้งความรู้ และความซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใสเป็นหลักสำคัญ ต้องเก่ง ต้องดี มีความรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
   ซึ่ง คนของท้องถิ่น ถือเป็นคนที่รู้พื้นที่ รู้สภาพภูมิสังคมมากที่สุด ดังนั้น การบริหารจัดการท้องถิ่น จึงต้องยึดโยงกับแผนพัฒนาจังหวัด การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและศักยภาพของพื้นที่ มีการใช้จ่ายงบประมาณต่างๆ ตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ด้วยความสุจริตโปร่งใส มีมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล
    สำหรับวาระสำคัญที่อยากจะฝากคือ 1. การปกป้อง และ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจ
ของคนไทยทั้งชาติ โดยขอให้ช่วยกันสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในท้องถิ่นให้ทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมนำแนวทางพระราชดำริ และหลักการทรงงาน หลักปรัชญาเศษรฐกิจ ถ่ายทอดให้ถึงพี่น้องประชาชน ให้สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงขอให้ช่วยกันปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 
     2. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เน้นย้ำในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ อย่าให้ประชาชนขัดแย้ง จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ต้องทำให้ประชาชนยอม
รับความคิดเห็น หรือความชอบที่อาจแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่เกิดความขัดแย้ง และต้องไม่ให้มีการยุยงปลุกปั่น ประชาชน หรือมีการทำผิดกฎหมาย 
    โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ ขอให้ท่านทำในสิ่งที่ดี  ต้องไม่เข้าไปมีส่วนในการปลุกระดมมวลชนอย่างเด็ดขาด โดยขอให้ใช้วิธีแก้ไขปัญหาที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง และให้เอาใจใส่ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 
     ยกตัวอย่าง การแก้ไขปัญหายาเสพติด ท่านต้องรับผิดชอบในพื้นที่ของตนเองโดยให้ยึดถือตามแนวทางการลด Demand (อุปสงค์) ลดปริมาณผู้เข้าสู่การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และนำคนออกจากวงจรการกระทำผิด  และลด Supply (อุปทาน) โดยบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการป้องกันยาเสพติดในพื้นที่ของตนเอง
      เรื่องการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยของ อปท. ในภาพรวมของประเทศ  ขอให้ดูตัวอย่างจากต่างประเทศที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ        
      สำหรับประเทศไทย เราจะต้องสร้างจิตสำนึกในการช่วยกันลดปริมาณขยะในพื้นที่ลงให้ได้ ซึ่งอนาคตจะมีการรวมกลุ่มพื้นที่ (Clusters) ในการจัดการขยะมูลฝอยร่วมกัน และจะมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ (Law) ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะมูลฝอย จึงขอให้เตรียมความพร้อมดำเนินการอย่างเป็นระบบ
     สุดท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ขอบคุณและให้กำลังใจผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกคนที่ได้ร่วมกันทำงานด้วยความเสียสละ อดทน ทุ่มเท และมุ่งมั่น 
ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถเชื่อว่าท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นคนดี เพราะมาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนที่เลือกคนดีมาทำงาน และขอให้ทุกคนช่วยพิสูจน์ตนเอง โดยช่วยกันทำให้ประเทศชาติเกิดความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนและสร้างความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชน
     ในส่วนของ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำการทำงานของท้องถิ่นทุกภารกิจ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่ในระดับท้องถิ่น  การจัดเก็บภาษี การปฏิบัติตามแผนการกระจายอำนาจ การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะการขอความร่วมมือจากประชาชนในการเปลี่ยนการเพาะปลูกมาเป็นพืชใช้น้ำน้อย และขอให้ท้องถิ่นช่วยสนับสนุนการทำงานต่างๆ ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งขณะนี้งบประมาณในการส่งเสริมความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เริ่มลงไปสู่พื้นที่แล้ว จึงอยากจะเห็นทุกพื้นที่ได้ทำงานเป็นทีม โดยสนับสนุนการทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัด ทีมประเทศไทย และทีมประชารัฐ ด้วยความเอื้ออาทร ระหว่าง ภูมิภาค ท้องที่ และท้องถิ่น สนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน ด้วยความรู้รักสามัคคี เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
   ในส่วนของการดูแลพื้นที่ ขอให้ช่วยดูแลเรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง แม่น้ำลำคลอง สิ่งแวดล้อมต่างๆ ตามโครงการคลองสวย น้ำใส อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ร่วมกับฝ่ายปกครองและตำรวจในพื้นที่ 
    ในด้านการช่วยเหลือประชาชน ผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส ขอให้ดำเนินโครงการของท้องถิ่นที่เพื่อสร้างโอกาส อาชีพ และขยายโอกาสการเข้าถึงการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในทุกระดับและส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ไม่มีหนี้สิน ใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรให้มีรายได้ที่เหมาะสมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต การช่วยเหลือในเรื่องปัจจัยการผลิต เป็นต้น 
     ด้านการบริหารจัดการ เน้นการทำงานเป็นทีม และมีการบริหารงาน "เชิงสร้างสรรค์" มีความสุจริตโปร่งใส เป็นไปตามระเบียบกฎหมาย และส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากขึ้น
    และขอให้ร่วมขับเคลื่อนศูนย์ดำรงธรรมท้องถิ่น โดยผู้บริหาร อปท. ต้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเชิงรุก ควบคู่กับการสร้างความเข้าใจ เข้าถึงประชาชน เพื่อให้ปัญหายุติให้ได้ในระดับท้องถิ่น โดยใช้หลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์เข้ามาแก้ปัญหา
    รวมทั้งขอให้ช่วยดูแลและร่วมพัฒนาสินค้า OTOP เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น มีคุณภาพ มีตลาดรองรับ สามารถนำไปขายในตลาดต่างประเทศ ขอฝากให้ท้องถิ่นเข้าไปช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเปิดตลาดชุมชนในพื้นที่  เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็ง ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 
        สำหรับการมอบนโยบายในภาคบ่ายนั้นจะมีผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ประกอบด้วย กำนัน ทุกตำบล จำนวน 1,828 คน ผู้ใหญ่บ้านของจังหวัดปทุมธานี จำนวน 407 คน โดยมีวาระสำคัญด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ อาทิเช่น การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ลดความขัดแย้งของประชาชาชนในพื้นที่ การรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การปราบปรามผู้มีอิทธิพล การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การเตรียมรับมือสถานการณ์ภัยแล้งปี 2558/59 โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และการดำเนินมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ 5 ล้านบาท) เป็นต้น 
    ทั้งนี้ จะมีการถ่ายทอดสดการประชุมผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกลเพื่อให้นายอำเภอ และผู้ใหญ่บ้านทุกคนในพื้นที่ภาคกลาง ได้เข้าร่วมรับชมโดยพร้อมเพรียง ณ สถานที่ที่แต่ละจังหวัดได้จัดเตรียมไว้ด้วย     





ตร.ภาค7 จับชาวเขมรขณะทำงานก่อสร้างโกดัง นาดี

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 26 พ.ย. 58 ร.ต.ท.ประสิทธิ์ วันเพ็ญ รอง สว.สส.ภ.7พร้อมกำลัง 12 นาย เข้าตรวจสอบ จับกุมคนงานก่อสร้างโกดังในพื้นที่ 17 ไร่ ถ.เศรษฐกิจ 1 หมู่ที่ 5 ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นชาวกัมพูชา ไม่มีใบอนุญาตทำงานและหนังสือเดินทางเป็น ผู้ชาย 19 คน ผู้หญิง 15 คน รวม 34 คน ขณะเดียวกัน นายประสาน บุหงา อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 17 หมู่ 18 ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ หัวหน้า คนงานบอกว่าก่อนถูกจับกุมเพิ่งย้ายไซร์งานมาทำได้เพียง 4 เดือนโดยมี หจก.ทรัพย์เจริญกิจ เป็นผู้รับเหมางานวางเสาเข็มก่อสร้างอาคารโกดังเก็บของตั้งอยู่ที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7ขณะเข้าจับกุมไม่พบผู้ดูแลคนงานจึงคุมตัวชาวเขมรทั้งหมดมาสอบสวนทำบันทึก แจ้งข้อกล่าวหาว่าลักลอบหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาครเพื่อดำเนินคดีต่อไป
เงาพญาราหู// รายงาน





วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เทศกาลลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง

เมื่อ 25 พ.ย. 58  นางสาวจิตรา พรหมชุติมา  ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานลอยพระประทีปพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ณ สระน้ำบริเวณ  อุทยาน ร.พร้อมด้วยนางกานต์เปรมปรีด์ ชิตานนท์ นายอำพล อังคภากรณ์กุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกิจกรรมรำวงย้อนยุค เพื่อการกุศล ลอยกระทงวิถีไทย สายน้ำอัมพวา ต่อด้วยเปิดงาน ประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลองตามครรลองวิถีพอเพียง ณ บริเวณวัดภุมรินทร์กุฎีทอง อำเภออัมพวา พร้อมปล่อยกระทงกาบกล้วยที่สวยงามสว่างไสวในสายน้ำแม่กลอง 200,000 กระทง ต่อด้วยการประกวดแม่-ลูกนพมาศ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาจนกองประกวดต้องหลบสายฝนเข้าไปประกวดในเต็นท์ อย่างไรก็ตาม เทศกาลลอยกระทงในปีนี้ไม่คึกคักเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากไม่ตรงกับวันหยุดราชการจึงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาร่วมงาน




วันวชิราวุธ

ผวจ.สมุทรสงครามเป็นประธานจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และถวายสักการะในพิธีรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อ 25 พ.ย. 58 นางสาวจิตรา  พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และถวายสักการะในพิธีรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม
วันวชิราวุธ ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี สาเหตุที่กำหนดให้เป็นวันนี้ เนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่เป็นประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลต่อประเทศชาติ ทั้งในด้านการคมนาคม การปกครอง กิจการเสือป่าและลูกเสือ รวมทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม และด้านวรรณคดี เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต ทางการจึงกำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันวชิราวุธ เพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) พระราชสมภพเมื่อวันที่ 1มกราคม พ.ศ. 2423 มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระมารดารวม 8พระองค์ ซึ่งมีพระอนุชาองค์เล็กคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
พระราชกรณียกิจด้านกิจการเสือป่าและลูกเสือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2454 มีจุดมุ่งหมาย เพื่อฝึกอบรมข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ให้ได้รับการฝึกหัดอย่างทหาร เพื่อให้เป็นราษฎรที่เข้มแข็ง มีคุณภาพ และส่งเสริมความสามัคคี โดยเหล่าเสือป่าจะมีหน้าที่ในการรักษาความสงบทั่วไปในเมือง ขณะเดียวกันก็ได้ทรงก่อตั้งกองลูกเสือขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง เพื่อฝึกให้เยาวชนมีความเข้มแข็ง อดทน เสียสละ สามัคคี ดังที่ได้พระราชทานคติพจน์ให้แก่คณะลูกเสือว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" และดังพระราชนิพนธ์บทละครพูดเรื่อง หัวใจนักรบ และ ความดีมีไชย ที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับบทบาทและหน้าที่ของลูกเสือ