วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ก.เกษตรเจ้าภาพจัด"“ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม”6-26 พ.ย.นี้ เชิญชวนชม ชิม ช้อป สินค้าเกษตรคุณภาพดีจากเกษตรกรทั่วประเทศ
“ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” 6-26 พ.ย.นี้ เตรียมยกขบวนสินค้าเกษตรคุณภาพ เกรดพรีเมี่ยมจากเกษตรกรไทยทั่วประเทศ มาจำหน่ายหวังกระตุ้นผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพ และเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่เกษตรกร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.60 นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะ ประธานคณะกรรมการดำเนินการโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม พร้อมนางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” โดยกระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพ ณ ทำเนียบรัฐบาล
นางสาวเรณู กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมาย ให้ส่วนราชการต่างๆ ดำเนินการจัดงานตลาดนัดสินค้าชุมชน บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล ริมคลองผดุงกรุงเกษม มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันนั้น รวมจัดมาแล้วทั้งสิ้น 35 ครั้ง ผลปรากฏว่า ได้รับการตอบรับจากผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี นอกจากจะมีแหล่งจำหน่ายสินค้าโดยตรง
จากผู้ผลิตให้กับผู้ซื้อ หรือผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นตลาดชุมชนสำหรับผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนเกษตรกร ได้มาจำหน่าย สินค้า เพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือน รวมทั้งเป็นตลาดต้นแบบสำหรับการขยายผลสู่ตลาดนัดชุมชน 4.0 ตลาดประชารัฐ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายในการขับเคลื่อนการจัดตั้งและขยายผลทั่วประเทศ เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา และในเดือนพฤศจิกายนนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า “ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม : ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” ระหว่างวันที่ 6 – 26 พฤศจิกายน 2560
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน กล่าวเสริมว่า กระทรวงเกษตรฯ กำหนดรูปแบบครั้งนี้ภายใต้แนวคิด "ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” จะมีพื้นที่จำหน่ายสินค้าภายในงานกว่า 150 บูท มีร้านค้าร่วมจำหน่ายสินค้าราว 300 ร้านค้า หมุนเวียนตลอด 3 สัปดาห์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ แนะนำสินค้า เกษตรคุณภาพ ได้มาตรฐาน เช่น สินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์ม GAP หรือเกษตรปลอดภัย ซึ่งใช้สัญลักษณ์ Q, สินค้าอินทรีย์ หรือออร์แกรนิคไทยแลนด์, สินค้าที่ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI , สินค้าแปรรูปที่นำมา จำหน่ายก็เป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบ Q หรืออินทรีย์ หรือผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP/HACCP, สินค้าคุณภาพ มาตรฐานจากแปลงใหญ่, จากโครงการข้าวครบวงจร Young Smart Farmer, จากสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
รวมทั้งจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ โดยสินค้าที่จัดจำหน่ายในตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยมครั้งนี้ จะมีความหลากหลาย ทั้งสัตว์น้ำสวยงาม พันธุ์ไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ กล้วยไม้ สวนถาด ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวสี ผ้าไหม-ผ้าฝ้าย ปศุสัตว์ ประมง ผลิตภัณฑ์แปรรูป อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์นมจากสหกรณ์โคนม ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ, ส้มโอทับทิมสยาม GI จ.นครศรีธรรมราช, ส้มสายน้ำผึ้งที่ได้รับมาตรฐาน GAP ที่ปลูกในพื้นที่อุดมไปด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ อ.ฝาง, ผลิตภัณฑ์เห็ดโคน-เห็ดเผาะในน้ำเกลือ, ไข่มดแดงกระป๋อง, ทุเรียนหลงลับแล ตลอดจนสินค้าเกษตรนวัตกรรม ต่างๆ เช่น ปลาเค็มอบโอโซน ซึ่งใช้เทคโนโลยีเข้ามาในกระบวนการผลิตและบรรจุด้วยระบบสุญญากาศ, น้ำมันรำข้าวเพื่อ สุขภาพ, มะนาวผง, เครื่องสำอางทั้งสบู่, ครีม , เซรั่มจากสินค้าเกษตร เช่น ข้าว, หัวหอม, มังคุด, มาร์กหน้าจากใยไหม" ในงานนี้ท่านจะได้พบกับสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัววางจำหน่าย เป็นครั้งแรก เช่น ข้าว กข 43 ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ เพื่อสุขภาพจากกรมการข้าว มีน้ำตาลต่ำเหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมน้ำตาลและผู้ป่วยเบาหวาน ปลาซิว สมพงษ์ ซึ่งเป็นปลาสวยงามที่สูญพันธุ์ไปจากไทยแล้วกว่า 30 ปี และไทยประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ขึ้นมาได้ รวมทั้งสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับปลากัดซึ่งเป็นปลาประจำชาติ เช่น แสตมป์, แก้วน้ำ, ผ้าพันคอ, ถุงผ้า"รองปลัดกระทรวงฯกล่าว
พร้อมระบุว่านอกจากนี้แล้วยัง มีร้านอาหาร หมุนเวียนจำหน่ายกว่า 90 ร้าน และมี Food Truck ด้วย โดยเป็นร้านอาหารชื่อดัง รวมทั้ง Q Restaurant ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งใช้วัตถุดิบปลอดภัยและสะอาด มีสุขอนามัย สินค้าจำหน่ายทั้งหมดจะแบ่งออกเป็น 9 โซน ได้แก่ 1.โซน Young Smart Farmer และแปลงใหญ่ 2.โซน GAP และ Organic 3.โซน Q Food Court 4.โซนผู้ประกอบการ 4.0 5.โซน Show Case 6.โซนนวัตกรรม 7.โซนไม้ดอกไม้ประดับและเครือข่าย 8.โซนหม่อนไหม แปลงใหญ่ และ 9.โซนข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวครบวงจร
โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจทุกวัน ทั้งฝึกอาชีพด้านเกษตร-หัตถกรรม-การทำอาหาร-อาชีพเสริมโดยใช้วัตถุดิบหรือวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร การถ่ายทอดองค์ความรู้จากโครงการส่งเสริมการเกษตรตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กิจกรรมฝึกทำบัญชีผ่าน Smart Phone กิจกรรมการประกวดสัตว์น้ำสวยงามผ่านระบบออนไลน์ กิจกรรมสาธิตระบบนวัตกรรมตลาดสินค้าเกษตร : ผู้ซื้อพบผู้ขายออนไลน์ กิจกรรมส่งเสริมการขายซึ่งมีทุกวัน เป็นต้น

*******************
มาแล้วรถดับเพลิง ปลัดนาดี ออกหนังสือยืมจาก ต.บางปลา
มาแล้วรถดับเพลิง
ปลัดนาดี ออกหนังสือยืมจาก ต.บางปลา
พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา
ปลัดเทศบาล ปฎิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี ต.นาดี ออกหนังสือยืมจาก ต.บางปลา 1 คัน เพื่อนำมาใช้คั้นเวลาก่อน รอรถใหม่และระหว่างซ่อมบำรุงรถชำรุด
สืบเนื่องมาจากเพจของหนังสือพิมพ์ชี้ชัดเจาะลึก
ได้นำเสนอประเด็นปัญหารถดับเพลิงต.นาดี
ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทั้งหมดเนื่องจากเสีย
และยังไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนจากผู้รับผิดชอบสูงสุดในต.นาดี
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของ พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฎิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี
ต.นาดี
ต่อมาภายหลังได้มีกลุ่มกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ในต.นาดี
รวมตัวกันยื่นเรื่องให้ศูนย์ดำรงธรรมสมุทรสาครติดตามเร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน
ซึ่งทางศูนย์ดำรงธรรม ก็ส่งเรื่องให้ทาง พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์
รับไปดำเนินการอย่างเร่งด่วนเช่นกัน
แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผ่านเจ้าหน้าที่ดับเพลิง
ที่ไม่มีรถดับเพลิงไว้ในปฎิบัติหน้าที่
และรู้สึกอึดอัดกับแนวทางแก้ปัญหาของปลัดเทศบาลคนนี้เป็นอย่างมาก
ต่อมา พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา
ปลัดเทศบาล ปฎิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี ต.นาดี
ทนต่อกระแสกดดันไม่ไหว จึงได้ตั้งโต๊ะแถลง
เรื่องนี้ โดยระบุว่า เรื่องการซ่อมนั้น
ในช่วงเดือนธันวาคม ได้อนุมัติไป 1 คัน แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาถึงรายละเอียดเรื่องราคาก็พบว่า
มีข้อติดขัดใน 2 จุดที่เห็นว่าราคาซ่อมแพงเกินไป
จึงได้ชะลอเรื่องนี้ไปก่อนและได้ส่งเรื่องให้ไปพิจารณาใหม่
ส่วนการซ่อมคันที่สองนั้น
ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ
ซึ่งตอนนี้ก็ได้แผนออกมาแล้วว่าจะซ่อมได้ในช่วงต้นปีหน้า
ส่วนเรื่องการซื้อรถดับเพลิงคันใหม่นั้น ทางปลัดบอกว่า
ได้มีการอนุมัติให้ซื้อรถขนาดใหญ่ขนาด 12,000 ลิตรไปแล้ว แต่ทางผู้ปฏิบัติงานนั้นเห็นว่าไม่สะดวกต่อการทำงาน
อยากได้รถขนาดเล็ก
ดังนั้นการที่จะตั้งงบซื้อรถขนาดเล็กก็ต้องตั้งต้นนับหนึ่งกันใหม่และว่ากันไปตามกระบวนการและต้องผ่านการประชาคมจากชาวบ้านด้วย
ส่วนระยะเวลาช่วงนี้ หากมีเหตุเพลิงไหม้ขึ้น
ก็คงต้องประสานขอความช่วยเหลือจากพื้นที่ใกล้เคียงไปก่อน แต่ในเบื้องต้นทางปลัดรับปากว่าจะหารถดับเพลิงจากที่อื่นมาสำรองใช้ไปก่อนระหว่างรองบประมาณในการซ่อมบำรุง
แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้รถมาเมื่อไหร่
ล่าสุดได้ทำหนังสือขอรับการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำดับเพลิงขนาด
6,000 ลิตร จากเทศบาลตำบลบางปลา มาใช้งานในพื้นที่ต.นาดีก่อนจำนวน
1 คันระหว่างรอรถคันใหม่ที่ได้อนุมัติงบสั่งซื้อไปแล้ว
รวมถึงรถเสียที่กำลังจะดำเนินการซ่อมบำรุงในต้นปีหน้า
สำหรับรถที่ยืมมานี้จะมีสัญญาคืนในวันที่
30 เม.ย. 2561
"จ่อแก้ กม.บำนาญชราภาพ ขยายอายุรับเงิน 55 ปีเ ป็น 60 ปี
"จ่อแก้ กม.บำนาญชราภาพ
ขยายอายุรับเงิน55 ปีเ ป็น60 ปี เปิดวิธีคำนวณเงินเกษียณ"
หลังจากประเด็นวิพากษ์วิจารณ์การปรับเพิ่มเงินสมทบผู้ประกันตน
จากเดิม 750 บาทต่อเดือนเป็นสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน
โดยคิดคำนวณฐานค่าจ้างใหม่จากเดิมเงินเดือน 15,000 บาท เป็นสูงสุด 20,000 บาท
เตรียมประกาศใช้อีก 3 เดือนข้างหน้า กระทั้งนายกรัฐมนตรีออกมาย้ำว่า
ยังไม่ดำเนินการ เนื่องจากเครือข่ายแรงงานออกมาคัดค้านนั้น
ล่าสุดเรื่องยังคงเดินหน้าต่อและยังมีการขยายอายุรับเงินบำนาญชราภาพอีก
เมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม นพ.สุรเดช
วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.)
กล่าวถึงความคืบหน้าการประชาพิจารณ์ปฏิรูปกองทุนบำนาญชราภาพ ว่า
เรื่องนี้ต้องแยกคนละส่วนกับกรณีการเพิ่มเงินสมทบผู้ประกันตนเงินเดือน
16,000-20,000 บาทขึ้นไป โดยกรณีนี้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นเมื่อปี 2559
แล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมาย ขั้นตอนคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จปี 2561
ขณะที่การขยายอายุรับเงินบำนาญชราภาพนั้น อยู่ระหว่างการประชาพิจารณ์ทั้งหมด 12
ครั้ง ผ่านการประชาพิจารณ์ไปแล้ว 6 ครั้ง
ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดพระนครศรีอยธุยา เชียงใหม่ พิษณุโลก กระบี่
และสงขลา โดยอีก 6 ครั้งที่เหลือจะทำใน 6
จังหวัด คือ ครั้งที่ 7
จังหวัดขอนแก่น วันที่ 30 – 31 ตุลาคม 2560 ครั้งที่ 8 จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 6 – 7 พฤศจิกายน 2560 ครั้งที่ 9 จังหวัดระยอง วันที่ 13 -14 พฤศจิกายน
2560 ครั้งที่ 10 จังหวัดเพชรบุรี วันที่
20 – 21 พฤศจิกายน 2560 ครั้งที่ 11 จังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 24
พฤศจิกายน 2560 และครั้งที่ 12
กรุงเทพมหานคร วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560
“โดยผล
การประชาพิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการขยายอายุรับเงินบำนาญชราภาพ
จากเดิมเกษียณอายุ 55 ปี เป็นอายุ 60 ปี แต่โดยระยะแรกก็จะเป็นไปโดยความสมัครใจ
หากใครต้องการรับเงินบำนาญที่อายุ 55 ปีก็ทำได้เช่นเดิม
เพียงแต่ในกรณีผู้ประกันตนที่ต้องการรับเงินตอนอายุ 60 ปีก็สามารถทำได้
ซึ่งตรงนี้เมื่อได้ข้อสรุปจะปรับแก้ในพ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2558 ซึ่งหากแก้ไขแล้วก็จะเป็นพ.ร.บ.ประกันสังคม
(ฉบับแก้ไขที่ 5) พ.ศ.2558 แทน แต่คงยังไม่รวดเร็วนัก เพราะต้องเป็นไปตามกระบวนการ”
นพ.สุรเดช กล่าว
นพ.สุรเดช กล่าวว่า
โดยการระดมความคิดเห็นนั้นจะมี 4 แนวทาง
คือ แนวทางที่ 1 คงอายุการรับเงินบำนาญชราภาพที่ 55 ปี
และรับสิทธิประโยชน์การรับเงินบำนาญแบบเดิม
แนวทางที่ 2 ขยายอายุการเกิดสิทธิรับบำนาญตามหลักสากล
และมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชดเชย
หากไม่สามารถทำงานจนถึงอายุที่มีสิทธิรับบำนาญได้
แนวทางที่ 3 ขยายอายุการเกิดสิทธิรับบำนาญตามหลักสากลคือ 60 ปี
และสามารถเลือกรับสิทธิประโยชน์บำเหน็จไปส่วนหนึ่งก่อนครบอายุรับบำนาญ แต่เมื่อครอบอายุเกิดสิทธิรับบำนาญ
เงินที่ได้รับจะลดลง และแนวทางที่ 4
ขยายอายุรับบำนาญขั้นต่ำเฉพาะผู้ประกันตนใหม่
สำหรับผู้ประกันตนเดิมสามารถเลือกรับบำเหน็จส่วนหนึ่งก่อนครบอายุรับบำนาญ
แต่เมื่ออายุครบรับบำนาญเงินจะลดลง
ซึ่งสามารถเข้าไปศึกษาและแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยกับแนวทางใดในเว็บไซต์
ของสำนักงานประกันสังคม http://www.sso.go.th
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
จากการสืบค้นในเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมเปิดเผยตัวเลขการคำนวณเงินรับ
บำนาญชราภาพ โดยให้คำนวณดังนี้ เงินบำนาญ
= [20% + (1.5%x จำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเกิน
180 เดือน)] x ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
ข้อมูลจาก สปส.
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า
จากการสืบค้นในเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมเปิดเผยตัวเลขการคำนวณเงินรับ
บำนาญชราภาพ โดยให้คำนวณดังนี้ เงินบำนาญ
= [20% + (1.5%x จำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเกิน
180 เดือน)] x ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย หรือ หากส่งเงินสมทบมา 15 ปี
อัตราเงินบำนาญอยู่ที่ 20% ก็จะได้รับเงินบำนาญต่อเดือนที่ 3,000 บาท แต่หากส่งเงินสมทบ 20 ปี จะได้อัตราเงินบำนาญ 27.5 %
จำนวนเงินรับบำนาญ 4,125 บาทต่อเดือน หากส่งเงินสมทบ 25 ปี
อัตราเงินบำนาญ 35 % จำนวนเงินรับบำนาญอยู่ที่
5,250 บาทต่อเดือน หากส่งเงินสมทบ 30 ปี อัตราเงินบำนาญ
42.5% รับเงินบำนาญจำนวน 6,375 บาทต่อเดือน และหากสมทบ 35 ปี
อัตราบำนาญอยู่ที่ 50% จะรับเงิน 7,500 บาท
ซึ่งทั้งหมดเป็นกฎหมายที่ใช้ในปัจจุบัน
จับหนุ่มบ้านแพ้ว งัดตู้วัตถุมงคล วัดใหญ่บ้านบ่อ..
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 60
เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจจักยานยนต์ ภายใต้การกำกับของ พ.ต.อ.ปัญจพล ชำนาญหมอ ผกก.สภ.บางโทรัด , พ.ต.ท.ประพนธ์ ภานุมาส รอง ผกก.สส.ฯ , พ.ต.ท.ดุษฎี
หิรัญรัตน์ รอง ผกก.ป.ฯ , พ.ต.ต.ประโยชน์ สายเงิน สว.สส.ฯ ,
พ.ต.ต.สุขุม เพาะไธสง สวป.ฯ
ได้สั่งการให้ ร.ต.ท.เลิศชาย แผนสนิท
รอง สว.(สส.)ฯ เจ้าพนักงาน ป.ป.ส.เลขที่ 584825 , ด.ต.สว่าง ขาวคำ , จ.ส.ต.ธนารัตน์ ม่วงจีน , ส.ต.ท.สยุมภู ชายภักดิ์ , ส.ต.ท.ทศพล มนัสปัญญากุล
พร้อมด้วยสายตรวจบ้านบ่อ ร.ต.ท.ไพฑูรย์ ภู่มาลี รอง สว.(ป.)ฯ , ด.ต.ไชยา คำจันดา
ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายไพรัช
หรือกอล์ฟ เขียวแช่ม อายุ 27 ปี ที่อยู่ 32 ม.7 ต.หนองบัว อ.บ้านแพ้ว จว.สมุทรสาคร
พร้อมด้วยของกลาง 1.เหรียญรุ่นสร้างอุโบสถ จำนวน 5 องค์ 2.พระพิฆเนศ จำนวน 3 องค์
3.เหรียญเจดีย์ทอง จำนวน 10 เหรียญ 4.พระผงฯ จำนวน 2 องค์ 5.เบี้ยแก้ จำนวน 5 อัน
6.กุมารทอง จำนวน 1 องค์ 7.เหรียญกษาปณ์ จำนวน 3 เหรียญ 8.ชุดกระป๋องสังฆทาน จำนวน
1 ชุด 9.มีดปลายแหลมทำครัวฯยาว 6 นิ้ว 1 เล่ม 10.รถจักรยาน จำนวน 1 คัน
โดยกล่าวหาว่า "ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นฯ
โดยใช้รถจักรยานเป็นพาหนะฯ"
พฤติการณ์ก่อนจับกุม
เมื่อกลางดึกของวันนี้ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจรถถจักรยานออกตรวจพื้นที่ผ่านมาบริเวณ
วัดใหญ่บ้านบ่อ ได้พบบุคคลต้องสงสัยถีบรถจักรยานผ่านมาตามถนนโดยในมือจับแฮนด์รถมีกระป๋องใส่เครื่องสังฆทานกับกระเป๋าสะพายจึงเรียกให้จอดและขอตรวจค้น
ปรากฎว่าดังกล่าวพยายามทิ้งรถจะหลบหนีแต่ช้ากว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกจับกุมไว้ได้
จากการตรวจค้นพบวัตถุมงคลอยู่ภายในกระเป๋าจึงนำตัวมาให้ฝ่ายสืบสวนทราบขื่อ
นายไพรัช หรือกอล์ฟ เขียวแช่ม ให้การว่าของที่พบตนได้เข้าไปงัดตู้กระจกจำหน่ายวัตถุมงคลกับกระป๋องสังฆทานที่ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถ์ โดยตนถีบรถจักรยาน มาจากบ้านแพ้ว
เพื่อมาลักขโมยพระที่อยู่ในตู้กระจกโดยตนมาดูก่อนหน้าและทราบว่ากลาวคืนไม่มีคนเฝ้าจึงได้ถีบจักรยานเข้ามาจอดรถไว้ข้างวิหารเดินมาหน้าโบสถ์
ใช้มีดงัดขอบกระจกจนหลุดฝาดพระเครื่องรางวัตถุมงคลใส่ลงกระเป๋าที่เตรียมมาและยกกระป๋องสังฆทานก่อนถึบรถออกมาจนถูกจับกุม
ส่วนของที่ขโมยมาจะเอาไปขายซื้อยาเสพติด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำวจสืบสวน สภ.บางโทรัด
ได้คุมตัวนายไพรัชฯไปทำแผนชี้ที่เกิดเหตุ🏡เหตุเกิด วัดใหญ่บ้านบ่อ ม.3
ต.บ้านบ่อ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส.สภ.บางโทรัด ดำเนินคดีต่อไป
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ทอดกฐินสามัคคี
ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี
9-10 พ.ย.นี้ 2 บริษัทใหญ่ระดับโลก จัดประชุมสุดยอดโปรแกรมการลุงทุนในต่างแดน เผยกลยุทธ์ภาษี-โยกย้ายถิ่นฐานได้สัญชาติ
บีคอน อีเว้นท์ส ร่วมกับ ฮาร์วีย์ ลอว์ กรุ๊ป จัดประชุมสุดยอดโปรแกรมการได้มาซึ่งสัญชาติโดยการลงทุนในต่างแดน 9-10 พ.ย.นี้ เป็นครั้งที่ 5 เปิดข้อมูลสำคัญระดับโลกด้านการโยกย้ายถิ่นฐานแห่งเดียวในอาเซียน เผยกลยุทธ์ด้านภาษีสำหรับนักลงทุน นำไปสู่การโยกย้ายถิ่นฐานสู่สหรัฐอเมริกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บีคอน อีเว้นท์ส ผู้จัดงานประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติ ซึ่งตอบโจทย์ความท้าทายในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ และมุ่งเน้นในข้อมูลทางด้านการตลาดเป็นหลักจากธุรกิจด้านการเงินและการลงทุน การสื่อสารด้านเทคโนโลยีและการพาณิชย์ หรือจะเป็นเทคโนโลยีชีวภาพและวิทยาศาสตร์ รวมทั้งกฎหมายและข้อปฏิบัติ ไปจนถึงงานสัมมนาเกี่ยวกับเกมส์ เพื่อวิเคราะห์ให้ได้ข้อมูลในเชิงธุรกิจและผลสำเร็จอันสูงสุด ได้ร่วมมือผนึกกำลังกับ บริษัท ฮาร์วีย์ ลอว์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำในด้านการโยกย้ายถิ่นฐาน และเป็นตัวแทนทางกฎหมายแก่นักธุรกิจ จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก จัดประชุมสุดยอดการลงทุนเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 5 (Investment Immigration Summit 2017) หรือที่รู้จักกันว่า “การได้มาซึ่งสัญชาติโดยการลงทุน” โดยครั้งนี้นับว่าประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดประชุมดังกล่าวติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากประสบความสำเร็จในปีแรก โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 พ.ย.60 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
นางไอรีน ตง ผจก.ทั่วไปบีคอน อีเว้นท์ส กล่าวว่า หลังจากการประชุมที่จัดขึ้นครั้งล่าสุดที่กรุงลอนดอน, ฮ่องกง, ดูไบ และเวียดนาม ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากนักลงทุน และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เดินทางมายังประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อจัดประชุมครั้งสำคัญรองรับการเติบโตของตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังช่วยให้นักลงทุนชาวอาเซียนมีความเข้าใจต่อการลงทุนเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานซึ่งสัญชาติอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะได้ขยายเครือข่ายธุรกิจไปทั่วโลก และในขณะเดียวกันผู้ที่เข้าร่วมประชุม จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาด้านการอพยพการลงทุน ซึ่งบีคอนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทด้านกฎหมาย อย่างบริษัท ฮาร์วีย์ ลอว์ กรุ๊ป ที่ร่วมมือกันจัดประชุมสุดยอดการลงทุนเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานมาอย่างต่อเนื่อง 4 ปีซ้อนแล้ว และในปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ของบีคอน ที่ได้รับความไว้วางใจและเติบโตมากยิ่งขึ้น
นายบาสเตียน เทรลแคท กรรมการผู้จัดการ ฮาร์วีย์ ลอว์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ฮาร์วีย์ ลอว์ เป็นผู้สนับสนุนหลักในงานการประชุมสุดยอดการลงทุนเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานซึ่งสัญชาติ และเป็นบริษัทที่ได้รับรางวัลประจำปีแห่ง Macallan Asian Legal Business (ALB) ในประเทศฮ่องกง ให้เป็นสุดยอดบริษัทกฎหมายด้านการโยกย้ายถิ่นฐานแห่งปี 2560 โดยความสำเร็จของการจัดประชุมขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ เมื่อปีที่ผ่านมานั้น ได้สร้างความสนใจจากผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก และในปีนี้จึงได้รับเกียรติจากผู้สนับสนุน และเหล่าผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุน ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานประชุมสุดยอดการลงทุนเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานครั้งที่ 2 ที่มีความมั่งคั่งสูง และได้รับการขยายสำนักงานจากในประเทศพม่า และกัมพูชานอกจากนี้การประชุมดังกล่าวไม่เพียงแต่จะนำเสนอประตูสู่ตลาดลงทุนอาเชียน (ASEAN) แต่ยังมีวิทยากรวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการลงทุนของประชากรอาเซียนด้วย รวมถึงทางเลือกด้านภาษี ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายให้คำแนะนำโดยเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นยังจะได้รับข้อมูลล่าสุดของโปรแกรมการลงทุนเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานจากทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป แคนาดา แคริบเบียน ออสเตรเลีย และมหาสมุทรแปซิฟิค
สำหรับฮาร์วีย์ ลอว์ กรุ๊ปมีสํานักงานกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในประเทศฮ่องกง กรุงเทพ โฮจิมินห์ซิตี้ ฮานอย ดานัง ปักกิ่ง ย่างกุ้ง สิงคโปร์ มะนิลา มอนทรีออลและไมอามี่ พร้อมทั้งมีเครือข่ายระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ส่งผลให้ฮาวีย์ ลอว์ กรุ๊ป มีทีมงานที่ทํางานคลอบคลุมเป็นวงกว้าง และสามารถให้บริการลูกค้าทั่วโลกได้อย่างเหนือระดับ
“งานประชุมในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี ที่จะสร้างและขยายเครือข่ายกับตัวแทนผู้ดูแลด้านการโยกย้ายถิ่นฐานจากนานาประเทศ และเป็นโอกาสที่ดีที่ จะได้รับฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในด้านการลงทุนเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน จะให้คำตอบแก่ผู้เข้าร่วมงาน ทั้งในเรื่องการลงทุนระดับประเทศและภูมิภาคสำหรับนักธุรกิจ ที่สามารถโยกย้ายถิ่นฐานของครอบครัวไปยังต่างประเทศ รวมถึงการได้รับยกเว้นการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวอีกด้วย” กรรมการผู้จัดการ ฮาร์วีย์ ลอว์ กรุ๊ป กล่าว
นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ผู้จัดการใหญ่ของไทยแลนด์ อีลิท (Thailand Elite ) กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 14 ปี นับตั้งแต่ Thailand Elite ได้เปิดให้บริการสมาชิก ให้ได้รับบริการที่สะดวกสบายในการพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย แขกผู้มาเยือนชาวต่างชาติสามารถใช้เวลาอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นเวลาถึง1ปีเต็มต่อการเข้าประเทศ 1 ครั้ง และจากการที่เราเป็นบริษัทของภาครัฐบาล หรือจะเรียกได้ว่าเป็น Official Government Agency ซึ่งทำให้เรามีบริการทางด้านวีซ่าชนิดพิเศษ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ชาวต่างชาติสามารถ พักอาศัย ท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ในระยะยาว และอีกหลายๆ คนก็เลือกที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วยเหตุผลด้านการลงทุน จึงนับเป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทุกกิจกรรมสำหรับชาวต่างชาติที่รักประเทศไทย ให้ทุกคนได้รู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน และมีเพื่อนที่ดีคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเราเปรียบสมาชิกทุกคนเป็น Friend of Thailand ปัจจุบันไทยแลนด์ อีลิทมีสมาชิกจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งจากยุโรป เอเชีย อเมริกา และออสเตรเลีย โดยไทยแลนด์ อีลิท มุ่งหวังที่จะประชาสัมพันธ์โครงการออกสู่ประเทศต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ชาวต่างชาติที่รักประเทศไทย ได้มาอาศัยในประเทศไทยร่วมกับเรา”
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นที่น่าสนใจของการประชุมในปีนี้ ได้แก่ สถานการณ์การลงทุนด้านการโยกย้ายถิ่นฐานในประเทศไทย เวียดนาม และตลาดการลงทุนอาเซียน รวมถึงกลยุทธ์ด้านภาษีสำหรับนักลงทุน ซึ่งนำไปสู่การโยกย้ายถิ่นฐานสู่สหรัฐอเมริกา และยังมีทางเลือกการลงทุนในทวีปเอเชีย แคริบเบียน ยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
**********************
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560
เจอตัวรวบทันที
ศรีวราห์ยื่น1หมื่นหมายจับ3จว.ใต้ให้ 9
จุดคัดกรอง
25 ต.ค.60 พล.ต.อ.ศรีวราห์
รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)
กล่าวภายหลังเดินทางตรวจเยี่ยมและชมการสาธิตวิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำ
โดยชุดมนุษย์กบ ตำรวจน้ำ
เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำ ในช่วงระหว่างงานพระราชพิธี
ที่สถานีตำรวจน้ำ 2 กองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจน้ำ ว่า
ขณะนี้มีการนำหมายจับกว่า 10,000 หมาย ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
จ.ยะลา จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี ส่งให้กับ บก.สส. , บช.น.และจุดคัดกรองรอบพระราชพิธี
ทั้ง 9 จุด
หากพบผู้ต้องหาตามหมายจับสามารถจับได้ทันที
มั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าผู้ต้องหาตามหมายจะไม่สามารถผ่านจุดคัดกรองได้
เจ้าหน้าที่มีความพร้อมในการดูแลความปลอดภัย ส่วนการข่าวยังไม่พบสิ่งผิดปกติ
MTIสุดปลื้มเหล่าศิษย์เก่าร่วมใจแต่งหน้าโขนหน้าพระเมรุมาศ รัชกาลที่ ๙
หนึ่งในกิจกรรมสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ชาติในงาน “พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙)” คือ “การแสดงมหรสพสมโภชตามโบราณราชประเพณี” จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ถึงเวลา ๐๖.๐๐ น. ของวันรุ่งขึ้น โดยหนึ่งในการแสดงโขนหน้าพระที่นั่งทรงธรรม ที่เรียกว่า “โขนหน้าพระเมรุมาศ” หรือ “โขนหน้าไฟ” เรื่องรามเกียรติ์ แสดงโดย นาฏศิลปิน สำนักการสังคีต นักเรียน นักศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลป์ ๑๒ แห่งทั่วประเทศ และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ในโอกาสนี้ได้มี ๔ ช่างแต่งหน้ามืออาชีพวิทยากรและศิษย์โรงเรียนสอนศิลปการแต่งหน้า MTI ได้มีส่วนร่วมในการแสดง โดยการแต่งหน้าให้กับนักแสดงโขน
อ.มัม- พงศ์รัต กิจบำรุง ศิษย์รุ่นที่ ๓๕ และวิทยากรโรงเรียนสอนศิลปการแต่งหน้า MTI รวมทั้งเมคอัพอาร์ตทิสต์อิสระ มือรางวัล กล่าวว่า นับเป็นเกียรติประวัติของอาชีพช่างแต่งหน้าเมื่อมีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในทีมงานแต่งหน้าโขนพระราชทานสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการอนุรักษ์และสืบสานการแสดงโขนไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา มาตั้งแต่ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗ กับการแสดงโชนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดนางลอย ,ชุดศึกมัยราพณ์ ,ชุดจองถนน ,ชุดโมกขศักดิ์และ ชุด ศึกอินทรชิต ตอน นาคบาศ ทั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และคณะกรรมการในการจัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนและละคร ตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
สำหรับการแต่งหน้าการแสดงโขนหน้าไฟครั้งนี้นับเป็นครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต คือทำงานถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จะขอใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดมาใช้อย่างเต็มสุดความสามารถ การแสดงโขนเป็นศิลปะชั้นสูงฉันใด การแต่งหน้าโขนก็ย่อมเป็นศิลปะการแต่งหน้าชั้นสูงไปด้วย ซึ่งต้องใช้ความละเอียดอ่อนและปฏิภาณไหวพริบในการแก้ไขปัญหารูปหน้า เพราะแต่ละคนมีโครงหน้าที่แตกต่างกันออกไป อาทิ เบ้าตาลึก,โหนกคิ้วสูง และขมับยุบ รวมทั้งการลงสีสันบนใบหน้าที่นักแสดงชายเน้นสีส้มแดง ส่วนนักแสดงหญิงที่เน้นสีแดงสด
“ขอบคุณเอ็มทีไอที่เปรียบเสมือนคลังแห่งความรู้ด้านศิลปะและเทคนิคการแต่งหน้าทุกประเภท ผลิตบุคลากรออกมาสู่วงการช่างแต่งหน้ามืออาชีพนับไม่ถ้วน ซึ่งการแต่งหน้าโขนพระราชทานเอ็มทีไอ โดย อาจารย์ขวด-มนตรี วัดละเอียด และทีมงานได้เข้ามาทำงานรับสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นับตั้งแต่เริ่มจวบจนถึงปัจจุบันและจะทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
อ.ต้น-ภูดิท อินทร์ทองปาน ศิษย์และวิทยากรโรงเรียนสอนศิลปการแต่งหน้า MTI และช่างแต่งหน้าที่มากประสบการณ์กว่า ๒๐ ปี กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลังจากที่พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้นอนหลับ คนไทยทุกคนได้ตื่นขึ้นมารักและสามัคคี จะเห็นต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด โดยที่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สำหรับตนเองได้ทำจิตอาสาต่าง ๆ มากมาย อย่างที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ครั้งนี้หนึ่งในจิตอาสาที่สำคัญคือ การได้แต่งหน้าให้กับการแสดงโขนหน้าไฟ หลังจากที่เคยได้แต่งหน้าโขนพระราชทานมาแล้วประมาณ 4 ครั้ง เมื่อได้รับแจ้งข่าวดีใจจนน้ำใจไหลที่จะได้ทำงานให้กับพ่อหลวงเป็นครั้งสุดท้าย จะขอทุ่มเทความรู้ความสามารถได้รับจากคณาจารย์เอ็มทีไอที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา ทั้งด้วยวิชาการและประสบการณ์ของแต่ละท่าน

นัจ-ลัทธ์กมล จิราพัทธ์ ศิษย์เอ็มทีไอรุ่น ๒๙๔ และช่างแต่งหน้าอิสระ กล่าวว่า ได้รับโอกาสจาก อ.มนตรี กับ อ.พงศ์รัต คัดเลือกให้เข้ามาเป็นทีมงานแต่งหน้าโขนพระราชทาน ตั้งแต่ครั้งแรกในปี ๒๕๕๓ จนถึงครั้งล่าสุด ปี ๒๕๕๗ สำหรับการแต่งหน้าการแสดงโขนหน้าไฟในครั้งนี้นับว่าเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจะต้องจดจำไปจนวันตาย โดยน้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสแบบชั่วชีวิตนี้ก็หาไม่ได้อีกแล้ว การแสดงโขนถือว่าเป็นศิลป์และศาสตร์ของแผ่นดินมีมาแต่โบราณ และเชื่อว่าจะเป็นมรดกของชาติไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน กว่าจะมายืนอยู่ตรงจุดช่างแต่งหน้ามืออาชีพนั้น คณาจารย์จากเอ็มทีไอเคยกล่าวไว้ว่า จะต้องมีทั้งความรักและความชื่นชอบในงานศิลปะ อีกทั้งต้องมีความรู้รอบตัว เราจึงจะทำงานอย่างมีความสุข ทำด้วยความเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาและอุปสรรคใด ๆ เราก็จะสามารถก้าวข้ามผ่านพ้นไปด้้วยดี “ศิลปะการแต่งหน้านั้นมีความแตกต่างจากการศิลปะแขนงอื่น ๆ ตรงที่เรารังสรรค์งานศิลป์ลงบนสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ โดยเฉพาะการแต่งหน้าโขนแบบฉบับไทยเป็นการลงสีสันที่ต้องวางลายเส้นไว้อย่างลงตัว แม้ว่าโครงหน้าแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป แต่ก็มีการควบคุมให้ทุกหน้าออกมามีความกลมกลืนและลงตัวที่สุด อยากให้ทุกคนช่วยกันอนุรักษ์โขนไว้ให้เป็นมรดกแห่งแผ่นดินสืบต่อไป”
ทริป-อรการ ศิลตระกูล ศิษย์รุ่น ๓๓๘ และช่างแต่งหน้ามืออาชีพ กล่าวว่า เพิ่งได้รับโอกาสเข้ามาร่วมงานแต่งหน้าโขนพระราชทานจากทีมงานเอ็มทีไอไม่กี่ปี ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่มีความรู้สึกภาคภูมิภาคใจที่มีความส่วนร่วมในการอนุรักษ์การแสดงโขน ที่อาจกล่าวได้ว่าไม่เพียงแต่จะเป็นมรดกไทยเท่านั้น ยังกลายเป็นมรดกโลกอีกด้วย ถ้าไม่มีในหลวง รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระราชินี โขนก็คงจะไม่เข้าถึงคนไทยทุกเพศทุกวัย และคงจะเงียบไปในที่สุด การแต่งหน้าโขนหน้าไฟในครั้งนี้นอกจากเป็นการแสดงความจงรักภักดีแล้วยังเป็นพิสูจน์ฝีมือของคนรุ่นใหม่ให้เป็นที่เป็นประจักษ์ว่า เป็นผู้มีส่วนร่วมในการสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยสนองพระราชดำริล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ และจะขอตั้งมั่นทำต่อไป
“การแต่งหน้าโขนถือว่าเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิและความสามารถสูงมาก ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่มีให้เพียงหน้าละ ๑ ชั่วโมงเศษ รวมถึงแข่งกับตัวเองด้วย ต้องบอกว่าถึงวันนี้ตัวเองมาไกลเกินฝัน โดยเฉพาะการทำงานถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระราชินี จะเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ลืม ขอบคุณเอ็มทีไอที่ส่งต่อโอกาสแบบไม่มีที่สิ้นสุดจากรุ่นสู่รุ่น”
เหล่าอาจารย์กับ อนุรี อนิลบล กรรมการบริหาร MTI
***********************
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ตำรวจทำดีด้วยใจ
เมื่อ 24 ต.ค.2560 เวลา17.00
พ.ต.อ.ธงชัย เนตรสขาวัฒน์ ผกก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร สันติ 1 พร้อมข้าราชการตำรวจ
กก.สส.ฯ ได้ไปตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ยากไร้ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ตามโครงการ”ตำรวจ เราทำดี ด้วยหัวใจ”พร้อมทั้งได้นำข้าวสาร,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป,ปลากระป๋อง,น้ำดื่มและเงินอีกจำนวนหนึ่งแก่นางสาวทองย้อย บ้านเกาะ อยู่บ้านเลขที่ 29
ม.5 ต.เจ็ดริ้ว อ.บ้านแพ้ว
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ตำรวจใจกุศล
24 ต.ค. 2560 เวลา 16.15
น.พ.ต.อ.ธงชัย เนตรสขาวัฒน์ ผกก.สส.ภ.จว.สมุทรสาครสันติ 1 พร้อมข้าราชการตำรวจ
กก.สส.ฯ ได้ไปตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ยากไร้ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ตามโครงการ”ตำรวจ เราทำดี ด้วยหัวใจ”พร้อมทั้งได้นำข้าวสาร,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป,ปลากระป๋อง,น้ำดื่มและเงินอีกจำนวนหนึ่งแก่นางสาวทองไล่ ทำพันธ์จาก อยู่บ้านเลขที่ 41
ม.4 ต.เจ็ดริ้ว อ.บ้านแพ้ว
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช